การวินิจฉัย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1. ประวัติ ควรถามเกี่ยวกับระยะเวลาที่เกิด ความสัมพันธ์กับประวัติระดู ประวัติ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้ยาคุมกำเนิดและการใช้ยาปฏิชีวนะ ลักษณะ จำนวนของระดูขาวและมีอาการคันร่วมด้วยหรือไม่(1-4) 2. การตรวจภายใน ระดูขาวในช่องคลอดพบลักษณะต่างกันตามสาเหตุดังตารางที่ 1(1) ตารางที่ 1 สาเหตุต่างๆ ของตกขาวและการวินิจฉัยแยกโรค(1)
หยดบนสไลด์ ปิดด้วย Cover slip แล้วดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตรวจหาเชื้อ Trichomonas vaginalis เชื้อรา และ Clue cell ในรายที่สงสัยเชื้อราอาจใช้น้ำยา KOH 10% เพื่อ ละลายเซลล์อื่นๆ ทำให้เห็นเชื้อราชัดขึ้น ถ้าเป็นเชื้อ Gardnerella vaginalis นอกจากพบ Clue cell แล้ว เมื่อหยดน้ำยา KOH 10-12% ลงในระดูขาวจะมีกลิ่นคาวเหมือนปลาเน่า (Fishy odor) เรียกว่า "Whiff test" หรือ Amine test" ให้ผลบวก( 5-7) การวินิจฉัยแยกโรค Bacterial vaginosis (เกิดจากเชื้อ Gardnerella vaginalis), Candida vulvovaginitis หรือ Candidiasis หรือ Moniliasis (ร้อยละ 85 เกิดจากเชื้อ Candida albicans) และ Trichomonas vaginitis หรือ Trichomoniasis (เกิดจากเชื้อ Trichomonas vaginalis) ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยประมาณร้อยละ 95 ของการอักเสบในช่องคลอด(8-10) ได้แสดงไว้ในตารางที่ 2(7) 4. ย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อจากปากมดลูก 5. พบเชื้อจากผลพลอยได้ของการตรวจเซลล์มะเร็งปากมดลูก ในรายที่มีข้อบ่งอาจทำเพิ่มเติม คือ 6. ตรวจหา pH ของช่องคลอด 7. Colposcopy 8. ตัดชิ้นเนื้อ เพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา 9. ขูดมดลูก เพื่อการวินิจฉัย 10. เจาะเลือด เพื่อตรวจหาซิฟิลิสหรือระดับภูมิคุ้มกันในโรคต่างๆ ตารางที่ 2 การวินิจฉัยแยกโรคที่ทำให้เกิดระดูขาวผิดปกติที่พบบ่อย(7)
|