อย่างดี โดยทั่วไปมักถ่ายภาพรังสีปอดในท่า postero-anterior (PA) ![]() ![]() ในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องถ่ายภาพในท่า left anterior oblique (LAO) ![]() ![]() หรือทำ esophagogram ร่วมด้วย โดยมีหลักในการอ่านภาพรังสีปอดดังนี้
การอ่านภาพรังสีปอดจะเริ่มต้นดูตั้งแต่ เทคนิคของการถ่ายภาพรังสีปอด ช่วงจังหวะของการหายใจ การบิดตัว ผู้ป่วยขณะถ่ายภาพรังสีปอด แล้วจึงนำมาประเมินลักษณะของกระดูกรทรวงอก ตำแหน่งของตับและม้าน ลักษณะ ของเส้นเลือดใหญ่ ขนาดและลักษณะของหัวใจ การมีห้องหัวใจโตผิดปกติและลักษณะของหลอดเลือดในปอด
ในการถ่ายภาพที่ใช้ปริมาณรังสีมากหรือน้อยเกินไป มีผลในการประเมินลักษณะของหลอดเลือดในปอด (pulmonary vascularity) ในภาพรังสีปอดที่ถ่ายโดยใช้ปริมาณรังสีมากอาจทำให้แปลผลว่ามีลักษณะของหลอด เลือดในปอดลดลง ทั้งๆที่มีลักษณะ pulmonary vascularity ปกติ
ภาพรังสีปอดที่ดีควรเป็นภาพถ่ายในขณะที่ผู้ป่วยหายใจเข้าเต็มที่ซึ่งสังเกตได้จากตำแหน่งของกระบังลม (diaphragm) บริเวณด้านซ้ายตรงตำแหน่ง apex ควรอยู่ต่ำกว่าซี่โครงที่ 6 ทางด้านหน้า (anterior) หรือระดับ ซี่โครงที่ 8 ทางด้านหลัง (posterior)
การเอียงตัวของผู้ป่วย ขณะถ่ายภาพรังสีปอดมีผลต่อการแปลผลขนาดของหัวใจ ในการสังเกตุว่า ถ่ายภาพ ในขณะที่ผู้ป่วยตัวตรงในท่า PA อาศัยลักษณะการตรวจพบดังนี้ l ระยะห่างของ medial aspect ของ clavicle ทั้งสองข้างจาก spinous process ของกระดูกสันหลัง 2 ระยะห่างของ anterior aspect ของซี่โครงทั้งสองข้างจาก lateral process ของ vertebral bodies ของกระดูกสันหลัง
สังเกตลักษณะรูปร่างของกระดูกทรวงอก กระดูกซี่โครงและกระดูกสันหลัง เช่นมี rib notching (COAT) หรือมี scoliosis ของกระดูกสันหลัง
สังเกตุตำแหน่งเงาของตับและกระเพาะว่าอยู่ด้านซ้ายหรือขวา เพื่อบอกถึงตำแหน่งของอวัยวะภายใน ช่องท้อง (situs solitus, situs inversus หรือ situs ambigious) ลักษณะของ right และ left main bronchus ![]() ของปอด โดยปกติ right main bronchus ทำมุมกับ trachea น้อยกว่า และมีความยาวประมาณ 2 ใน 3 ของ left main bronchus ร่วมกับมี eparterial bronchus ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการบอกตำแหน่ง ของหัวใจ และอวัยวะภายในช่องท้องเช่นพบว่า apex ของหัวใจชี้ไปทางขวาร่วมกับมี main bronchus ข้างขวายาวกว่า ทางด้านซ้ายและเงาของตับอยู่ทางด้านซ้ายด้วยเรียกว่า dextrocardia with situs inversus แต่ถ้าเงาของตับ อยู่ทางด้านขวาเรียกว่า isolate dextrocardia และถ้าเงาของตับอยู่ตรงกลางร่วมกับพบลักษณะ right main bronchus ทั้งสองข้างผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่ม situs ambiguous with bilateral right sideness (asplenia syndrome) แต่ถ้าเป็น left side main bronchus ทั้งสองข้าง ผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่ม dextrocardia with bilateral left sideness (polysplenia syndrome) ![]()
ลักษณะของเส้นเลือดใหญ่ที่จำเป็นต้องอ่านได้แก่ ลักษณะของ pulmonary trunk, aorta และ aortic arch
l. Pulmonary trunk
2. Aorta
3. Aortic arch
การบอกว่าขนาดของหัวใจโตหรือไม่ โดยดูเงาของ transverse cardiac diameter เปรียบเทียบ ตามอายุหรือดู cardiothoracic ratio (normal < 50-55%) ในกรณีที่ขนาดของหัวใจโตขึ้นคิดถึงภาวะหัวใจ ล้มเหลวเช่น จากการมี left to right shunt, regurgitation, myocardial disease, severe outflow obstruction หรือ pericardial disease ขนาดของหัวใจปกติพบได้ในภาวะปกติหรือ small left to right shunt, mild to moderate stenosis ลักษณะรูปร่างของหัวใจช่วยในการวินิจฉัยโรคได้เช่น มีลักษณะแบบ egg lying (TGA), boot shaped หรือ couer en sabot ![]() ![]()
ในการบอกว่าห้องหัวใจมีขนาดโตขึ้น (chamber enlargement) ต้องอาศัยการถ่ายภาพทั้ง PA และ lateral view ในบางรายอาจใช้การถ่ายภาพในท่า LAO, RAO และทำ esophagogram ร่วมด้วย ในการ บอกว่ามีห้องหัวใจโตผิดปกติ เช่น left ventricular hypertrophy, right ventricular hypertrophy, left atrial enlargement และ right atrial enlargement มีหลักเกณฑ์ในการอ่านดังนี้
l. Left ventricular hypertrophy (LVH) มีหลักเกณท์ในการอ่านดังนี้
2. Left atrial enlargement (LAE) มีหลักเกณท์ในการอ่านดังนี้
3. Right ventricular hypertrophy (RVH) มีหลักเกณท์ในการอ่านดังนี้
ในการบอกว่ามีห้องหัวใจโตขึ้นได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพบ ลักษณะที่ผิดปกติ จากภาพรังสีปอดหลายๆลักษณะมาประกอบกัน รวมทั้งควรนำอาการทางคลินิกมาประกอบด้วย การพบมีห้องหัวใจ โตขึ้นแสดงว่าอาจมีภาวะ volume overload (left to right shunt, regurgetation), pressure overload หรือ myocardial failure
ในการอ่านลักษณะ pulmonary vascularity ต้องอาศัยลักษณะและขนาดของ hilar pulmonary artery ร่วมกับการมีขนาดเล็กลง (tapering) ของ extrahilar pulmonary artery และความชัดเจนของ pulmonary artery ลักษณะของหลอดเลือดในปอดสามารถแบ่งได้เป็น normal pulmonary vascular marking ![]() increase pulmonary pulomary vascular marking ![]() ![]() bronchial vascular marking, high pulmonary vascular resistance ![]() ![]()
l. Normal pulmonary vascular marking
2. Increase pulmonary artery vascular
marking
3. Pulmonary venous congestion
5. High pulmonary vascular resistance |
|