ชนิดของ Primary Immunodeficiency แบ่งตาม WHO Scientific group
1. Combined immunodeficiency
โรคในกลุ่มนี้จะมีความผิดปกติของภูมิคุ้มกันทั้ง 2 ประเภทร่วมกัน โรคที่สมควรทราบ คือ
Severe combined immunodeficiency (SCID) (3-4)
โรคนี้มีความผิดปกติของภูมิคุ้มกันทั้ง T-cell และ B-cell อย่างมาก ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยมักเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนมากในขวบปีแรก ดังนั้นการให้การวินิจฉัยที่รวดเร็วและการรักษาที่ถูกต้องโดยด่วน เป็นเรื่องจำเป็นมากและสามารถรักษาให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ การวินิจฉัยโรคนี้ควรสงสัยเมื่อเด็กในวัยทารกมีการติดเชื้อซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็น bacteria, virus หรือ โดย ส่วนมากจะเริ่มมีการติดเชื้อต่าง ๆ เหล่านี้ตั้งแต่ก่อนอายุ 6 เดือน
เชื้ออาจเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในผู้ป่วยภูมิคุ้มกันปกติหรือเป็นเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infection) เช่น candida (รูปที่ 2-4) , Pneumocystis carinii (รูปที่ 5) ห รือ Bacillus Calmette Guerin เป็นต้น
รูปที่ 2
รูปที่ 3
รูปที่ 4
รูปที่ 5
ผู้ป่วยอาจมาด้วยปอดบวมซ้ำๆ ท้องเดินเรื้อรัง เลี้ยงไม่โต แผล BCG ไม่หายสนิท ตรวจร่างกายพบว่า lymphoid tissue เช่น lymph node และ tonsils เล็กมากหรือตรวจไม่พบ เมื่อทำ chest x-ray จะไม่เห็นเงาของต่อม thymus การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามี lymphopenia (<3000 cells/mm 3 ในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี , หรือ <1500 cells/mm 3 ในเด็กอายุมากกว่า 1 ปี) มี CD 3 ต่ำ ส่วนใหญ่จะต่ำกว่า 500/ mm 3 และมี hypogammaglobulinemia (IgG < 150 mg/dl) แต่ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมากๆ ระดับ IgG อาจยังไม่ต่ำมากก็ได้ เนื่องจาก IgG ที่ได้มาจากมารดายังไม่ลดลง การรักษาที่จำเพาะต่อโรค คือ การปลูกเซลต้นกำเนิดเม็ดเลือด (stem cell transplantation , SCT) ซึ่งจะแก้ไขให้ผู้ป่วยกลับมามีภูมิคุ้มกันปกติได้ สำหรับผู้ป่วย SCID ชนิด ที่เกิดจากการขาด enzyme adenosine deaminase (ADA) การรักษาอีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ enzyme replacement แต่เป็นการแก้ไขเพียงชั่วคราว ผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้ต้องได้รับ enzyme บ่อยๆ ดังนั้นการทำ SCT จึงเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในขณะนี้ โรคนี้มีการถ่ายทอดพันธุกรรมได้หลายแบบขึ้นกับชนิด (subtype) ของโรค (รูปที่ 6) การให้ genetic counseling จึงเป็นเรื่องสำคัญ
รูปที่ 6
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์และภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย