พยาธิกำเนิด
          แม้ว่าโรคนี้ จะมีผู้รายงาน การตรวจพบมาเป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่
ทราบแน่ชัดว่าทำไมจึงเกิด uterosacral ligaments  ขึ้นได้
          มีหลายทฤษฎีได้พยายามอธิบาย เช่น
   1. ทฤษฎีการฝังตัวของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก Direct implantation (Sampson)
   2. ทฤษฎีการกระจายตามท่อน้ำเหลืองและหลอดเลือดดำ
   3. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ Coelomic metaplasia (Meyers)
   4. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิคุ้มกันและพันธุกรรม
1. ทฤษฎีการฝังตัวของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก Direct implantation(Sampson)
          เชื่อว่าเป็นทฤษฏี  ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด  เกี่ยวกับการไหลย้อนกลับ
(retrograde) ของระดูเข้าไปในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน เป็นที่เชื่อถือกันมากที่สุดและ
หลักฐานสนับสนุนค่อนข้างมากกว่าทฤษฎีอื่น ๆ  กล่าวคือ 
         ในขณะตรวจส่องในช่องท้องในช่วงมีระดู มักจะพบว่า มีเลือดระดูไหลออกจาก
ปลายท่อนำไข่
          ภาวะนี้มักพบตามแอ่งรองรับในอุ้งเชิงกราน เช่น ที่รังไข่ ใน  cul-de-sac ที่
uterosacral ligaments เป็นต้น
          เนื้อเยื่อที่บุผิดโพรงมดลูกสามารถนำมาเพาะเลี้ยงในหลอดทดลองได้ และ
สามารถนำไปปลูกให้เจริญเติบโตในผิวหนังหน้าท้องได้  รวมทั้งสามารถสะกัดออกมาจาก
น้ำในช่องท้องได้ด้วย
          การทดลองผ่าตัดย้ายปากมดลูกของลิงให้เลือดระดูไหลเข้าไปในช่องท้อง
พบว่า ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ อุบัติการเพิ่มขึ้นในสตรีที่มีรอบระดูสั้น และมีช่วงระดู
ยาวนานกว่าปกติ  ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสที่เลือดระดูน่าจะไหลกลับเข้าไปในช่องท้อง
ได้นานกว่าปกติ

2. ทฤษฎีการกระจายของเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกไปตามกระแสเลือดและ
   ท่อน้ำเหลือง
       จะใช้อธิบายในกรณีที่เกิดภาวะนี้ในอวัยวะที่ไกลจากมดลูกมาก ๆ เช่น ในปอด
ในสมอง เป็นต้น  แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงไม่ค่อยพบที่ต่อมน้ำเหลือง
หรือที่ตับ
3. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุช่องท้อง (Coelomic metaplasia)
   มีหลักฐานสนับสนุน ดังนี้
       ภาวะนี้อาจพบได้ในเด็กหญิงก่อนที่จะเข้าสู่วัยสาวบางราย
          ภาวะนี้อาจพบได้ในสตรีที่ไม่เคยมีระดูเลยก็ได้
          ภาวะนี้สามารถพบในตำแหน่งที่พบไม่บ่อยนัก เช่น ที่นิ้วหัวแม่มือ ต้นขา
ซึ่งอาจเกิดจากการที่ mesenchymal limb buds พัฒนามาในตอนที่เป็นตัวอ่อน
ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับเยื่อบุช่องท้อง
          สามารถพบในผู้ชายได้แม้จะน้อยมากก็ตาม
4. ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิคุ้มกันและพันธุกรรม
          แม้มีการไหลย้อนกลับของเลือดระดูเข้าไปในช่องท้องในสตรีส่วนใหญ่  แต่ก็มี
เพียงน้อยรายเท่านั้นที่เกิดภาวะนี้  น่าเชื่อว่ามีกลไกปกป้องไม่ให้เกิดภาวะนี้ในสตรี
ส่วนใหญ่  แต่บางรายที่กลไกนี้บกพร่องจึงทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นมา โดยมีหลักฐาน
พบความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันทั้งแบบเซลล์ (CMI) และแบบน้ำเหลือง (HMI)
ต่างก็มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดภาวะนี้  ร่วมกับทฤษฎีข้างต้น  ดังมีหลักฐานสนับสนุน
พบว่าในภาวะนี้  มีความเกี่ยวข้องกับประวัติภายในครอบครัวด้วย
          ปัจจัยสนับสนุนว่าทฤษฎีนี้  น่าจะมีความสำคัญ ได้แก่
          มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด T และ B cells ทั้งในเลือดและ
น้ำในช่องท้อง
          พบมีออโตแอนติบอดีย์ (IgG และ IgA) ต่อเยื่อบุโพรงมดลูกและ
ฟอสโฟไลปิดส์ในเลือด น้ำในช่องท้อง มูกจากปากมดลูก และสารคัดหลั่งในช่องคลอด
          การตอบสนองต่อแอนติเจนของเยื่อบุโพรงมดลูกน้อยลง
          เชื่อว่าเอสโตรเจนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝังตัวและการคงอยู่ของเยื่อบุโพรงมดลูก
ที่ผิดตำแหน่งนั้น เนื่องจากมีหลายหลักฐานสนับสนุนเช่น
          Endometriosis เป็นโรคที่พบในวัยเจริญพันธุ์
          พบได้น้อยในผู้ป่วยที่ขาดระดูเป็นเวลานาน
          บ่อยครั้งที่พบว่าโรคดีขึ้นในขณะตั้งครรภ์
          การตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างจะทำให้โรคนี้ดีขึ้น