มะเร็งต่อมลูกหมาก

 

   ในสหรัฐอเมริกามะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้ชายและเป็นโรคมะเร็งในเพศชายที่มีอัตราการตายเป็นอันดับที่สอง (33) ในปี ค.ศ. 1995 พบผู้ป่วยใหม่จำนวน 244,000 ราย และเสียชีวิตจำนวน 40,400 ราย  อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีข้อแนะนำในการตรวจคัดกรองหามะเร็งต่อมลูกหมากเนื่องมาจากยังมีข้อถกเถียงสองประการคือ ประการแรกยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการตรวจคัดกรองมีประโยชน์โดยเฉพาะในการลดอัตราการตาย (34)  และประการที่สองทำให้มีการเพิ่มอุบัติการณ์ของโรคเนื่องมาจากตรวจพบในรายที่ไม่มีอาการและยังไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์คุ้มค่าจากการตรวจหรือไม่ (35,36)
     
 

ภาพตัดขวางของต่อมลูกหมากแสดงก้อนมะเร็งต่อมลูกหมาก

   
  การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากมี 3 วิธีหลักคือ
1. การตรวจด้วยนิ้วมือ (Digital rectal examination หรือ DRE) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจดั้งเดิมและแพร่หลาย  การตรวจด้วยนิ้วมือซึ่งเป็นวิธีการตรวจดั้งเดิมและแพร่หลายมีความไวร้อยละ 33 ถึง 69 มีความจำเพาะร้อยละ 49 ถึง 97 ผู้ป่วยที่มีผลบวกต่อการตรวจด้วย DRE  3 รายจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเพียง 1 ราย (37-41)
2. การตรวจซีรั่มหาระดับ Prostate-specific antigen (PSA)  ได้รับความสนใจตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เนื่องมาจากสามารถตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่ระยะแรกและสามารถใช้ติดตามผลหลังจากการผ่าตัดต่อมลูกหมาก (42,43)  อย่างไรก็ตามผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ยังไม่มีการแพร่กระจาย 1 ใน 3 รายก็สามารถตรวจพบระดับ PSA เป็นปกติได้และในเนื้องอกของต่อมลูกหมากที่ไม่ใช่มะเร็งเช่น BPH ก็พบว่ามีระดับ PSA สูงได้บ่อยครั้ง (37-48)  แพทย์บางท่านแนะนำให้ใช้หลายๆ วิธีร่วมกันเพื่อสามารถวินิจฉัยได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังมีการใช้ระดับ PSA ร่วมกับอายุด้วย
3. การตรวจด้วยอุลตร้าซาวด์ผ่านทางทวารหนัก (Transrectal ultrasonography หรือ TRUS)  สามารถตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากขนาดเล็กที่ไม่สามารถคลำได้ มีความไวร้อยละ 41 ถึง 79 ขึ้นกับความสามารถของผู้ตรวจ  แต่พบว่าการทำ biopsy การใช้ TRUS มีความแม่นยำกว่าการใช้นิ้วมือ (37)
   
 

ภาพอุลตร้าซาวด์ผ่านทางทวารหนักแสดงก้อนมะเร็งในต่อมลูกหมาก

     
  Gerber และคณะศึกษาการตรวจคัดกรองด้วยวิธี DRE แต่ก็ไม่พบว่าสามารถลดอัตราการการตายหรือการแพร่กระจายของมะเร็งต่อมลูกหมากได้ (49)  ส่วนการตรวจด้วย PSA หรือ TRUS ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกถึงอัตราการมีชีวิตรอดของผู้ป่วยได้ (35)  ประโยชน์จากการตรวจคัดกรองหามะเร็งต่อมลูกหมากนั้นในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบว่าจะมีประโยชน์จริงหรือไม่  คงต้องรอการศึกษาซึ่งกำลังดำเนินงานอยู่รวมสองการศึกษาแต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกประมาณ10 ปีจึงจะสรุปผลได้
   
  แนวทางการตรวจคัดกรองหามะเร็งต่อมลูกหมากยังไม่มี  เนื่องจากแต่ละสถาบันมีวิธีการตรวจแตกต่างกันไปเช่น  สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาไม่แนะนำให้ตรวจหา PSA ในประชากรทั่วไป (1)  แต่สมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ตรวจ DRE ร่วมกับ PSA ทุกปีในผู้ชายที่อายุตั้งแต่ 50 ปีหรืออาจเร็วกว่านั้นในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น คนที่มีเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน หรือผู้ที่ประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (51)  แต่ข้อแนะนำดังกล่าวก็ขาดข้อมูลสนับสนุนในอัตราการรอดชีวิตและอัตราการตาย รวมทั้งประโยชน์ที่ได้จะคุ้มค่าหรือไม่ (35,36,52,53)