มะเร็งตับชนิด HCC

 

ในประเทศไทยมะเร็งตับชนิด hepatocellular carcinoma (HCC) เป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่งในผู้ชายและพบเป็นอันดับสองในผู้หญิง  โดยมีอุบัติการณ์ประมาณ 40.5 คนต่อแสนต่อปี (1)  ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้แก่ ตับแข็ง ตับอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี  ในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งตับชนิด HCC มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีร่วมด้วยร้อยละ 80 ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซีร้อยละ 10  ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นผู้ป่วยตับแข็งและติดเชื้อไวรัสทั้งสองชนิด   ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีแบบเรื้อรังคือมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบร่วมกับมีการเพิ่มขึ้นของระดับ SGOT และ SGPT ในเลือดจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับมากกว่าผู้ติดเชื้อแต่ไม่มีการเพิ่มของระดับเอนไซม์ดังกล่าว  จากการศึกษาในประเทศไต้หวันพบว่าผู้ติดเชื้อตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรังมีโอกาสเกิดมะเร็งตับมากกว่าประชากรปรกติถึง 400 เท่า
 
  ในระยะแรกเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กมักไม่ปรากฏอาการ  เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการซึ่งได้แก่ ตับโต น้ำหนักลด ก็มักจะเป็นระยะสุดท้ายของโรคแล้วไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้  จากการรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยมะเร็งตับชนิด HCC ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (2) พบว่าผู้ป่วยที่รักษาแบบประคับประคองมีระยะเวลามีชีวิตสั้นเพียง 8.7 สัปดาห์ (95%CI 6.7 - 10.7 สัปดาห์)  การรักษาที่ถือเป็นมาตรฐานเพื่อหวังผลในการหายขาดหรือช่วยเพิ่มระยะเวลามีชีวิตของผู้ป่วยในปัจจุบันนี้คือการผ่าตัด  แต่การผ่าตัดกระทำได้เฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งตับระยะแรกเท่านั้นซึ่งผู้ป่วยระยะนี้มักไม่ปรากฏอาการ  ดังนั้นการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับเพื่อหามะเร็งตับระยะเริ่มแรกจึงคาดว่าน่าจะได้ประโยชน์แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบ  ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองใดที่มีความแม่นยำและถูกต้องเกินกว่าร้อยละ 95  วิธีการที่ใช้อยู่คือ การตรวจเลือดหาระดับ a- fetoprotein (AFP) และการตรวจอุลตร้าซาวด์ตับ  (1)
 
Livraghi และคณะ (3) ศึกษาผู้ป่วยมะเร็งตับชนิด HCC จำนวน 240 รายที่ได้รับการวินิจฉัยด้วยอุลตร้าซาวด์และการเจาะชิ้นเนื้อจากตับด้วยวิธี fine needle biopsy พบว่าก้อนมะเร็งตับขนาดเล็กมักมีลักษณะรอยโรคเป็น hypoechoic จากการตรวจด้วยอุลตร้าซาวด์และมีตับแข็งเกิดร่วมด้วยทุกราย  ระดับ AFP น้อยกว่า 20 นาโนกรัมต่อมล.พบได้ 79 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 32.9 และระดับ AFP มีความสัมพันธ์กับขนาดของก้อนมะเร็ง  ยิ่งก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่โอกาสที่ระดับ AFP สูงผิดปรกติจะพบได้มากขึ้น  แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองหามะเร็งตับด้วยอุลตร้าซาวด์ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง
 
Di Bisceglie และคณะ (4) ศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังไวรัสตับอักเสบบีจำนวน 166 ราย  โดยติดตามผู้ป่วยนานถึง 8 ปี  พบว่าผู้ป่วยที่มีระดับ AFP ปกติจำนวน 144 ราย และผู้ป่วย 22 รายมีการเพิ่มขึ้นของระดับ AFP จำนวน 29 ครั้ง  โดยที่ระดับที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการเกิดตับอักเสบกำเริบ 25 ครั้ง  มะเร็งตับชนิด HCC 2 ครั้ง (2 ราย)  และไม่ทราบสาเหตุอีก 2 ครั้ง  ผู้ป่วยที่มีตับอักเสบกำเริบพบว่าในภายหลังผลการตรวจ HBeAg ในเลือดได้ผลลบจำนวน 11 ครั้ง  เมื่อเปรียบเทียบผู้ป่วยที่มีระดับ AFP ปกติและสูงได้ผลดังตารางที่ 3  จากการศึกษานี้ยืนยันว่า AFP สามารถใช้ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับชนิด HCC ในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบี   แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุของ AFP ที่ขึ้นสูงโดยส่วนใหญ่เนื่องมาจากการกำเริบของโรคตับอักเสบเองโดยที่อาจตรวจพบหรือไม่พบ HBeAg ในเลือดก็ได้

 

ตารางที่ 3  แสดงความแตกต่างของระดับ AFP กับอัตราการเกิดตับแข็ง มะเร็งตับ และอัตราการเสียชีวิต

  ระดับ AFP สูง ระดับ AFP ปกติ หมายเหตุ

จำนวนผู้ป่วย (ราย)
ตับแข็ง (ร้อยละ)
เสียชีวิตเนื่องจากโรคตับ (ร้อยละ)
เกิดมะเร็งตับชนิด HCC (ร้อยละ)

22
61
27
  9
166
  13
 0.7
    0

P = 0.01      *
P = 0.0007  *
P = 0.002    *

*  มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

 

Curley และคณะ (5) ศึกษาไปข้างหน้าในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรัง 416 ราย (ตับอักเสบจากไวรัสบี 69 ราย จากไวรัสซี 340 รายและทั้งสองอย่าง 7 ราย)  โดยการตรวจอุลตร้าซาวด์และวัดระดับ AFP ทุก 3 เดือน  ทำการตรวจชิ้นเนื้อจากตับเพื่อวัดความรุนแรงของตับอักเสบแล้วติดตามผู้ป่วยเป็นระยะเวลาเกินกว่า 5 ปี  พบว่าตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่มีอาการจำนวน 36 ราย (ร้อยละ 8.6)  โดยที่ผู้ป่วย 33 ราย (ร้อยละ 7.9)ตรวจพบมะเร็งตับตั้งแต่ครั้งแรกของการตรวจคัดกรอง  ที่เหลือจำนวน 3 ราย(ร้อยละ  0.7)ตรวจพบในระหว่างติดตามผลในช่วงปีแรก  สามารถรักษาหายขาดจำนวน 22 ราย(ร้อยละ 61.1)  ส่วน14 รายที่เหลือ (ร้อยละ 38.9) พบในระยะที่เป็นมากแล้ว   ผู้ป่วย 140 รายที่การตรวจชิ้นเนื้อจากตับพบว่ามีตับอักเสบเรื้อรังรุนแรง ตับแข็ง หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน เกิดเป็นมะเร็งตับ 35 รายหรือคิดเป็นร้อยละ 25  ในขณะที่ผู้ป่วย 276 รายที่มีพยาธิสภาพทางตับไม่รุนแรงเกิดเป็นมะเร็งตับเพียงรายเดียวหรือคิดเป็นร้อยละ 0.4 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.0001)   แนะนำให้ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับทุก 3 เดือนในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรังชนิดรุนแรงหรือตับแข็ง
 
โดยสรุปแนวทางการตรวจคัดกรองหามะเร็งตับชนิด HCC ในผู้ป่วยตับแข็งและผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี แสดงดังตารางที่ 4   แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจำนวน 1 ใน 3 ที่พบมะเร็งตับในระยะเริ่มแรกก็ไม่สามารถทำการผ่าตัดเนื่องจากการทำงานของตับไม่ดีหรือก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถผ่าตัดได้หมด

 

ตารางที่ 4 แนวทางการตรวจคัดกรองหามะเร็งตับชนิด HCC

ระดับ
ความเสี่ยง
 

กลุ่มผู้ป่วย

ความถี่ของการตรวจ

ระดับ AFP ในเลือด

อุลตร้าซาวด์ตับ
ระดับที่ 1 ผู้ติดเชื้อตับไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรังที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี

ทุก 1 - 3 ปี

ทุก 1 - 3 ปี

ระดับที่ 2 ผู้ติดเชื้อตับไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรังที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

ทุก   6 เดือน

ทุก 12 เดือน

  ผู้ติดเชื้อตับไวรัสตับอักเสบชนิดซีเรื้อรังที่มีอายุมากกว่า 40 ปี

ทุก   6 เดือน

ทุก   6 เดือน

ระดับที่ 3 ผู้ติดเชื้อตับไวรัสตับอักเสบชนิดบีเรื้อรังและเป็นตับแข็ง

ทุก   3 เดือน

ทุก   6 เดือน

  ผู้ติดเชื้อตับไวรัสตับอักเสบชนิดซีเรื้อรังและเป็นตับแข็ง

ทุก   3 เดือน

ทุก   6 เดือน

หมายเหตุ  ผู้ป่วยที่เป็นเพศชาย มีประวัติมะเร็งตับชนิด HCC ในครอบครัว หรือระดับ AFP สูงกว่า 20 นาโนกรัมต่อมล. ควรติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด


  

มะเร็งตับชนิด Hepatocellular carcinoma

ภาพอุลตร้าซาวด์ก้อนมะเร็งในตับ ลักษณะทางพยาธิวิทยาของมะเร็งตับ
ภาพก้อนมะเร็งตับที่ตรวจพบจากเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องส่วนบน
ภาพตัดขวางของก้อนมะเร็งตับ