Dracunculiasis
(Dracontiasis, dracunculosis, guinea worm infection, Medina worm infection)

เกิดจากตัวแก่เพศเมียของพยาธิตัวกลม Dracunculus medinensis โรคนี้ให้ลักษณะอาการทางคลีนิคได้หลายอย่าง แต่ที่ค่อนข้างเป็นลักษณะพิเศษคือ ผิวหนังมีการอักเสบเฉพาะที่ทันทีพร้อมกับเกิดแผล(ulcer) และที่แผลพบตัวพยาธิเป็นเส้นยาว ปกติตัวแก่เพศเมียมีความยาวระหว่าง 70 ถึง 120 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวระหว่าง 0.09-0.17 เซนติเมตร

โดยธรรมชาติ พยาธิตัวกลม Dracunculus medinensis ไม่ใช่พยาธิตัวกลมชนิด filaria แต่ถูกจัดเพื่อความสะดวกให้อยู่ในกลุ่มนี้ไปก่อน พยาธิตัวกลมชนิดนี้จัดเป็นพยาธิที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งที่โลกรู้จักมาแต่โบราณ ดังจะเห็นได้จากสัญลักษณ์ทางการแพทย์(caduceus) ซึ่งได้มาจากวิธีการใช้กิ่งไม้เกี่ยวม้วนตัวพยาธิเพื่อดึงมันออกจากผิวหนัง

โรคนี้พบชุกชุมในทวีปอัฟริกา และเอเชีย พบระบาดมากทาง ตอนกลางของทวีปอัฟริกา และตามแถบชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอัฟริกา ตั้งแต่ประเทศมอริทาเนียไปจนจรดประเทศคาเมรูน สำหรับทวีปเอเชีย พบตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนจรดประเทศตุรกี รวมทั้งประเทศแถบตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศอาหรับ และตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศรัสเซีย นอกจากนั้นยังมีรายงานจากหมู่เกาะอินเดียตะวันตก และทวีปอเมริกาใต้

วงจรชีวิต ตัวแก่เพศเมียปล่อยตัวอ่อนผ่านตามรอยแตกของผิวหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มันอาศัยอยู่ ตัวอ่อนเหล่านี้เมื่ออยู่ในน้ำจะถูกตัวไร(cyclops)กิน และเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนระยะที่สามซึ่งเป็นระยะติดต่อ คนเป็นโรคนี้ได้โดยการดื่มน้ำที่มีตัวไรเหล่านี้เข้าไปในทางเดินอาหาร ตัวอ่อนจะไชผ่านผนังลำไส้ไปฝังตัวอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณช่องท้องด้านหลัง เพื่อเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ หลังผสมพันธุ์ตัวเมียจะไชไปที่ผิวหนังเพื่อปล่อยตัวอ่อนตามบริเวณผิวหนัง ตัวแก่เพศเมียจะตายหลังจากปล่อยตัวอ่อนออกมาปะปนในน้ำ

อาการทางคลีนิค อาการส่วนมากพบที่ผิวหนัง เมื่อตัวแก่เพศเมียมาปล่อยตัวอ่อนที่บริเวณนี้ ขณะไชไปตามผิวหนังจะพบขดเป็นทางมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเหมือนงูเลื้อย และทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง เป็นตุ่มนูนแดง ภายในมีตัวแก่เพศเมียขดอยู่ โดยทั่วไปตุ่มนูนเหล่านี้มักพบที่ขา โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้า นอกจากนี้อาจพบที่ แขน มือ เต้านม ถุงอัณฑะ องคชาต หน้าท้อง ตะโพก เบ้าตา และลิ้น เป็นต้น เมื่อตุ่มนูนแดงนี้ถูกน้ำจะแตกเป็นแผล

ผู้ป่วยมีอาการคันที่ผิวหนัง เกิดผื่นลมพิษ หายใจลำบาก หน้ามืดเป็นลม วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย มีไข้ และหอบหืด หรือบางรายพบเป็นอัมพาตของแขนขา พบ eosinophils สูงในเลือด ส่วนมากมีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อบักเตรี

พยาธิสภาพ: พบพยาธิสภาพตามอวัยวะที่ตัวแก่เพศเมียตาย เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดการอักเสบเป็นหนอง อยู่ภายใน granulation tissue หรือบางรายหนองแห้งไปเหลือแต่เยื่อเกี่ยวพันและพบสารแคลเซี่ยมพอกในชิ้นส่วนของพยาธิที่ตาย ทำให้มองจากภาพรังสีพบหินปูนจับเป็นเส้นยาวขดเป็นก้อน เช่นพบที่ กะเพาะปัสสวะ กล้ามเนื้อต้นขา ข้อเข่า ทรวงอก และที่กระดูกสันหลัง เป็นต้น ที่ผิวหนังโดยมากพบเป็นเศษเนื้อตายพร้อมตัวพยาธิและเซลล์อักเสบ ล้อมรอบด้วยการอักเสบชนิด granulomatous inflammation เซลล์อักเสบส่วนมากเป็นชนิด giant cell, epitheloid cell, histiocytes, lymphocytes เป็นต้น

การวินิจฉัย โดยการพบตัวแก่เพศเมียจากแผลที่ผิวหนัง หรือตรวจพบชิ้นส่วนของพยาธิจากชิ้นเนื้อที่ตรวจ หรือจากการฉายภาพรังสีโดยฉีดสารทึบแสงเพื่อช่วยในการตรวจหาพยาธิสภาพที่อยู่ภายในอวัยวะของร่างกาย