Intestinal obstruction ลำไส้อุดตันในเด็ก เป็นปัญหาฉุกเฉินที่พบได้บ่อย และมีโรคที่เป็นสาเหตุแตกต่างจากผู้ใหญ่ การวินิจฉัยในเด็ก มักจะลำบากกว่า เพราะอาจไม่ได้ประวัติ หรือได้ประวัติไม่ชัดเจนในเด็กเล็ก รวมทั้งเด็กอาจไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกาย หรือทำเอ็กซเรย์ ลักษณะอาการปวดท้อง มักจะได้เฉพาะในเด็กโต ควรซักถามลักษณะอาเจียนให้ละเอียด จากผู้ปกครอง หรือคนเลี้ยง เพื่อประเมินปริมาณ และสีของน้ำที่อาเจียน ว่ามีน้ำดีปนหรือไม่ ประวัติการถ่ายอุจจาระ หรือ meconium หลังคลอด มีความสำคัญมาก นอกจากประวัติการป่วยของเด็กแล้ว ควรซักประวัติของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น มี polyhydramnios (น้ำคร่ำมากกว่า 1500-2000 มล.) หรือไม่ รวมทั้งโรคในครอบครัว และโรคทางพันธุกรรม ควรสังเกตท่านอน และลักษณะกระวนกระวายของเด็ก เช่น อาการร้องไห้ ยกขา เพราะอาจบ่งถึงอาการเจ็บปวด ที่เด็กไม่สามารถบอก หรืออธิบายให้แพทย์ทราบ สำหรับหน้าท้อง ควรสังเกตดูลักษณะของ peristalsis ก้อนในท้อง ไส้เลื่อน หรือรอยแผลผ่าตัดเก่า ควรกดคลำหน้าท้องอย่างนุ่มนวล เพื่อตรวจดูความผิดปกติ เช่น ก้อน การกดเจ็บ หรือการเกร็งของผนังหน้าท้องเฉพาะที่ การตรวจทางทวารหนักมีความสำคัญ และยังสามารถวินิจฉัย ความพิการแต่กำเนิดของทวารหนัก ที่อาจเป็นสาเหตุของลำไส้อุดตัน ในการวินิจฉัยโรคที่เป็นสาเหตุลำไส้อุดตัน พิจารณาจากข้อมูลด้านอายุของผู้ป่วย และอาการ หรือการแสดงร่วมอื่นๆ นอกเหนือจากลำไส้อุดตัน เช่น ก้อน ถ่ายเป็นเลือด การอักเสบติดเชื้อ กลุ่มอายุและโรคที่เป็นสาเหตุของลำไส้อุดตันในเด็ก ตามลำดับที่พบบ่อยในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แสดงในตาราง ซึ่งสามารถใช้ช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของลำไส้อุดตันได้ เพราะโรคบางอย่างเกิดขึ้นในกลุ่มอายุใดอายุหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนรายละเอียดในตอนต่อไปนี้ จะกล่าวถึงเฉพาะสาเหตุสำคัญ สำหรับ imperforate anus ซึ่งปัจจุบันวินิจฉัยได้ก่อนจะมีอาการลำไส้อุดตัน ได้แยกกล่าวไว้ต่างหากในบท anorectal malformation
กลุ่มอายุและสาเหตุของลำไส้อุดตันในเด็กตามลำดับที่พบบ่อย |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
การตีบตันเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อของ
pylorus ซึ่งเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าเป็นมานาน
เด็กจะมีภาวะ hypokalemic hypochloremia metabolic alkalosis จากการอาเจียนอย่างมาก
ก่อนทำผ่าตัด จึงควรให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ แก้ไขภาวะขาดน้ำ เกลือแร่
และความผิดปกติของภาวะกรดด่าง ควรใส่ท่อ nasogastric เพื่อดูดน้ำและเศษอาหาร
จากกระเพาะอาหาร หลักของการผ่าตัดคือ กรีดตัดกล้ามเนื้อที่เป็นก้อน ตามแนวยาวของ
pylorus จนถึงชั้น mucosa เพื่อคลายการตีบตัน (Ramstedt's operation) |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
เป็นความพิการแต่กำเนิดของลำไส้
หรือดูโอดีนั่ม ที่ไม่มีช่องทางติดต่อกับลำไส้ส่วนถัดไป
ทารกมักจะเริ่มมีอาการอาเจียนตั้งแต่หลังคลอด หลังจากได้น้ำหรือนม ลักษณะอาการเป็นแบบลำไส้อุดตัน ถ้าพยาธิสภาพอยู่สูง อาการอาเจียนจะเกิดขึ้นเร็ว และท้องอืดน้อย แต่ถ้าพยาธิสภาพอยู่ต่ำ เช่น ที่ ileum ท้องจะอืดมาก แต่อาการอาเจียนเกิดขึ้นช้า อาเจียนมีน้ำดีปน เอ็กซเรย์ใน duodenal atresia มักจะเห็นลักษณะพิเศษเฉพาะ เป็น double bubble sign ซึ่งเป็นเงาอากาศในกระเพาะอาหารและดูโอดีนั่มตอนต้น และจะไม่เห็นเงาอากาศต่ำกว่าส่วนที่เป็น atresia หลักของการรักษาคือ ทำผ่าตัดต่อลำไส้ส่วนที่ดีเข้าหากัน ให้อาหารผ่านได้ปกติ อาจพบว่าลำไส้ส่วนต้น ที่มีการขยายขนาดอย่างมาก กลับมาทำงานได้ช้ากว่าปกติ จนต้องให้อาหารทางสาย catheter ผ่านรอยต่อลงไปในลำไส้ หรือให้อาหารทางหลอดเลือดดำร่วมด้วย ระยะหนึ่ง |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
เป็นภาวะที่ลำไส้ไม่หมุนตัวมาอยู่ในตำแหน่งปกติ
ในขณะที่มีการเจริญเติบโตในครรภ์ โดยมาก cecum มักจะคงอยู่ที่ส่วนบนของช่องท้องแทนที่จะลงมาที่ด้านขวาล่าง
ตำแหน่งผิดปกตินี้ทำให้เกิดเยื่อพังผืด (Ladd's band) ระหว่าง cecum กับด้านหลังช่องท้องข้างขวาซึ่งอาจกดทับส่วนที่
2 ของดูโอดีนั่มเป็นสาเหตุของลำไส้อุดตันได้
ลักษณะอาการ
ขึ้นอยู่กับระดับและความสมบูรณ์ของการอุดตัน รายที่เป็น volvulus มักจะมีอาการรุนแรง
ท้องอืดมาก อาจคลำก้อนได้กลางท้อง
บางรายถ่ายเป็นมูกเลือด และมีอาการของ peritonitis ร่วมด้วย เอ็กซเรย์ช่องท้องจะเห็นกระเพาะอาหารโป่งพอง
ไม่เห็นเงาอากาศในลำไส้ส่วนถัดไป หรือเห็นน้อยมาก
การรักษา Ladd's band obstruction อาศัยศัลยกรรม โดยตัด Ladd's band และปล่อยให้ cecum และลำไส้ใหญ่ หมุนกลับไปอยู่ด้านซ้ายของช่องท้อง และจัดให้ลำไส้เล็กอยู่ทางด้านขวาของช่องท้อง ควรตัดไส้ติ่งออกไปด้วย เพื่อป้องกันปัญหาไส้ติ่งที่อยู่ด้านซ้ายเกิดอักเสบในอนาคต วิธีการทั้งหมดเรียกว่า Ladd's procedure ถ้าสงสัย volvulus ต้องรีบทำการผ่าตัดด่วน เพื่อคลายการบิดหมุนโดยเร็ว ก่อนที่ลำไส้จะเน่าตาย เพราะขาดเลือด หลังจากบิดหมุนลำไส้กลับแล้ว จึงทำ Ladd's procedure ต่อไป |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
ภาวะลำไส้กลืนกัน
ชนิดที่ลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก (ileocolic) เด็กส่วนมากมีสุขภาพสมบูรณ์มาก่อน
ลักษณะอาการที่สำคัญคือ อาเจียน ท้องอืด และถ่ายเป็นเลือดสด หรือมูกเลือดใส
(currant jelly) |
||||||||||||||||||
Treatment | ||||||||||||||||||
การทำ barium enema นอกจากจะเป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยแล้ว ยังเป็นการรักษาวิธีหนึ่ง โดยอาศัยความดัน จากแบเรี่ยมที่สวนเข้าไป เพื่อดันลำไส้ที่ถูกกลืน ให้ถอยหลุดออก (hydrostatic pressure reduction) ควรติดตามผลขณะให้การรักษา โดยเอ็กซเรย์ fluoroscopy เป็นระยะ ไม่ควรใช้ความดันสูงเกินไป เพราะลำไส้อาจทะลุได้ แนะนำให้ใช้ความดันคงที่ โดยห้อยถังใส่แบเรี่ยม ให้สูงกว่าตัวเด็ก ไม่เกิน 2.5 ฟุต ข้อห้ามในการสวนแบเรี่ยมคือ รายที่มี peritonitis หรือลำไส้อุดตันมานาน ในระยะหลัง มีผู้แนะนำให้ใช้ลม ดันลำไส้ที่กลืนกัน แทนการใช้แบเรียม เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีลำไส้แตกทะลุระหว่างทำ ควรพิจารณาผ่าตัด ถ้าการรักษาโดย hydrostatic pressure reduction ไม่ประสบความสำเร็จ หรือในเด็กที่มีลักษณะอาการ ของ peritonitis เมื่อผ่าตัดเข้าช่องท้องแล้ว ควรพยายามดันลำไส้ที่ถูกกลืน ให้คลายออก (manual reduction) การตัดลำไส้ ทำเฉพาะในรายที่ดันกลับไม่สำเร็จ หรือลำไส้ที่ถูกกลืนขาดเลือดมาก จนเน่าตาย ในเด็กโต ควรหาสาเหตุชักนำ ที่ทำให้ลำไส้กลืนกัน ส่วนมาก จำเป็นต้องตัดเอาลำไส้ที่ถูกกลืนออก เพราะมักจะมีเนื้องอก หรือพยาธิสภาพต้นเหตุ อยู่ด้วย |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ของปัญหาลำไส้อุดตันในเด็ก ตั้งแต่ระยะแรกคลอด จนถึงเด็กโต ลักษณะเป็นแบบลำไส้อุดตันแบบไม่สมบูรณ์ พยาธิสภาพในโรคนี้ ได้แก่ การที่ลำไส้ขาด ganglion cell โดยอาจจะเกิดพยาธิสภาพกับเฉพาะบางส่วน ของลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย rectum และ sigmoid colon ซึ่งพบเป็นส่วนมาก ในผู้ป่วยโรคนี้ หรือเกิดพยาธิสภาพสูงขึ้น จนถึง descending หรือ transverse colon จนถึงในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีผู้ใดแสดงสาเหตุที่แท้จริง ว่าอะไรทำให้การพัฒนา ganglion cell หยุดยั้งไป หรือถูกทำลายไป หลังจากพัฒนาแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็น multifactorial ผลของความผิดปกติดังได้กล่าวมาแล้ว
ทำให้เกิด pathophysiologic disturbance คือ ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นได้ จากการศึกษาการบีบรัดและคลายตัวของลำไส้ กับการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดภายใน (internal sphincter) ผลของความผิดปกติ
แสดงออกให้เห็นจากลำไส้ เมื่อเกิดการอุดตันขึ้นแล้ว คือ ลำไส้ส่วนที่อยู่เหนือ
(proximal) ต่อส่วนที่เป็นโรค มี dilatation และ hypertrophy ลำไส้ส่วนที่เป็นโรค
จะมีขนาดปกติ หรือเล็กกว่าปกติเล็กน้อย และลำไส้ส่วนที่เชื่อมต่อทั้ง 2 ส่วนข้างต้น
(transitional zone) จะมีลักษณะเรียว จากเล็กไปใหญ่ แบบค่อยเป็นค่อยไป รูปร่างเหมือนกรวย
(cone shape) อุบัติการที่รวบรวมได้จากรายงานอื่น พบเฉลี่ย 1 : 5000 เด็กเกิดมีชีพ ส่วนใหญ่พบในทารกคลอดครบกำหนด และน้ำหนักแรกคลอดอยู่ในเกณฑ์ปกติ พบผู้ป่วยเป็นชายมากกว่าหญิง สถิติจากรายงานต่างๆ ที่รวบรวมได้ พบว่า ส่วน proximal ที่สุดที่มีพยาธิสภาพ มีดังนี้ |
||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
โรคนี้ได้รับการขนานนามว่า Hirschsprung's disease ตามชื่อศัลยแพทย์ชาวเดนมาร์ค ซึ่งศึกษาโรคนี้อย่างละเอียด ในยุคแรกๆ ส่วนคำว่า โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิด หรือ congenital megacolon ก็ยังมีผู้นิยมเรียกกันอยู่ แม้ว่าจะผู้แนะนำว่า น่าจะเรียกว่า congenital aganglionosis หรือ โรคลำไส้ขาดเซลล์ประสาทควบคุมมากกว่า ลักษณะทางคลีนิค ลักษณะที่ปรากฏทางคลินิกได้แก่
การไม่ถ่ายขี้เทา (meconium) การตรวจร่างกายช่วยยืนยันเรื่องของ abdominal distension นอกจากนั้นอาจคลำได้ก้อนอุจจาระซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือ มักเป็นก้อนเหนียว บีบให้เปลี่ยนรูปทรงได้ พบเป็นลำอยู่บริเวณหัวเหน่า (ใน sigmoid colon) และด้านซ้ายของหน้าท้อง (ใน descending colon) การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) มีส่วนสำคัญ ช่วยในการวินิจฉัยทางคลินิก กล่าวคือ เด็กที่เป็นโรค HD ลำไส้ส่วนปลายจะหดรัด ไม่คลายตัว ดังนั้นจึงไม่มีอุจจาระมาค้างอยู่ เมื่อใส่นิ้วมือเข้าไปตรวจ จึงต้องไม่พบอุจจาระ (empty rectum) ถ้าพบอุจจาระมาค้างคาอยู่ปากทวารหนัก แสดงว่าน่าจะเป็นโรคอื่น ในขณะเดียวกันในโรค HD มีอุจจาระและลม ซึ่งอยู่เหนือตำแหน่งที่มี function obstruction ซึ่งขับถ่ายผ่านออกมาไม่ได้ ดังนั้นเมื่อใส่นิ้วมือผ่านเข้าไปถึงตำแหน่งนี้ เท่ากับเป็นการ relief obstruction ดังนั้นจะพบว่า มีลมและอุจจาระพุ่งตามนิ้วมือออกมา เมื่อชักนิ้วกลับ |
||||||||||||||||||
![]() |
||||||||||||||||||
การวินิจฉัยโรค Hirschsprung's disease นอกจากจะอาศัยจากประวัติ และการตรวจร่างกายแล้ว ในกรณีที่สงสัย และต้องการการยืนยันการวินิจฉัยให้ได้แน่นอน ยังมีวิธีการตรวจพิเศษ investigation ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง และมีประโยชน์ในโรคนี้ แต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อด้อย และความแม่นยำแตกต่างกัน ดังจะกล่าวถึงพอสังเขปต่อไปคือ Roentgenographic
studies ภาพรังสีช่องท้องในท่า supine และ upright จะพบลักษณะของ
lower gut obstruction Manometric
diagnosis เป็นการตรวจดูการทำงานของลำไส้ ทำได้โดยวัดความดันภายในลำไส้ที่
rectosigmoid, rectum และ anorectum และการสำรวจการทำงานของ internal sphincter
ใน HD จะพบว่า มีความผิดปกติของการบีบรัด และคลายตัวของลำไส้ และพบอีกว่า
การขยายตัวของ rectum ไม่ทำให้ internal sphincter คลายตัว ซึ่งการที่ไม่พบ
internal sphincter reflex relaxation นี้ เป็นหลักการสำคัญ ที่ใช้ใน manometry
เพื่อที่จะวินิจฉัยแยก HD จากสาเหตุอื่นของ constipation Histopathology and Histochemical study การทำ rectal biopsy เพื่อนำมาตรวจทาง histopathology โดยการย้อมด้วย Hematoxylin-Eosin จะช่วยให้การวินิจฉัย HD ได้ถูกต้องมากขึ้น เกณฑ์การวินิจฉัย พิจารณาจากการไม่พบ ganglion cell ในลำไส้ การจะให้ได้ชิ้นเนื้อมาตรวจแบบนี้ ต้องอาศัย full-thickness rectal biopsy ข้อเสียของวิธีนี้คือ ต้องทำภายใต้ general anesthesia และผลจากการ biopsy อาจทำให้เกิด scarring, perforation, bleeding หรือ infection ได้ ต่อมามีการนำวิธี
suction rectal biopsy มาใช้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยน้อยกว่า แต่ต้องใช้การตรวจด้วยวิธี
histochemistry โดยอาศัยเกณฑ์การตรวจ พบการเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ Acetylcholinesterase
ต้องอาศัยผู้ที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ ชิ้นเนื้อที่ได้จาก suction biopsy
จะประกอบด้วยชั้น mucosa และ submucosa เท่านั้น ซึ่งสามารถทำการตัดชิ้นเนื้อโดยวิธี
suction biopsy ได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ยาสลบ ทำให้สามารถทำได้ในผู้ป่วยนอก
ไม่ต้องใช้วิธีผ่าตัด และไม่ยุ่งยาก ความแม่นยำของการตรวจชิ้นเนื้อทั้งสองวิธี ใกล้เคียงกันคือ เชื่อถือได้มากกว่า 95% |
||||||||||||||||||
แนวทางการรักษา | ||||||||||||||||||
การรักษา Hirschsprung's disease จะได้ผลดีหรือไม่ ขึ้นกับว่าเราสามารถวินิจฉัยโรคนี้ ได้เร็วเพียงใด การที่วินิจฉัยล่าช้า และได้ให้การรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ enterocolitis หลักการในการรักษาประกอบด้วย 1. การรักษาในระยะแรก ให้การรักษาเพื่อรักษาปัญหาลำไส้อุดตัน แก้ไขภาวะขาดน้ำ และการเสียสมดุลย์ของเกลือแร่ (ถ้ามี) หลังจากนั้น รักษาให้มี adequate decompression ทำการระบายอุจจาระออก ซึ่งอาจใช้วิธีสวนอุจจาระ (rectal irrigation) ในเด็กเล็ก ถ้าอุจจาระยังไม่จับกันเป็นก้อนแข็ง การใช้วิธีสวนอุจจาระ มักจะเพียงพอ สำหรับในเด็กโต ซึ่งเป็นมานาน อุจจาระมักจับกันเป็นก้อนแข็งมาก การสวนล้าง ไม่สามารถสวนเอาอุจจาระออกมาได้ อาจต้องใช้วิธีล้วงควักออก หรือบีบให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งมักต้องวางยาสลบในการทำ หลังจากเอาอุจจาระก้อนใหญ่ และแข็งออกแล้ว ก็ใช้วิธีสวนล้างต่อไป ในกรณีที่มีอุจจาระคั่งค้างมาก และลำไส้โป่งพองมาก ควรทำ colostomy ไว้ก่อน และทำการสวนล้างจนอุจจาระหมดไป ลำไส้ส่วนที่โป่งพองลดขนาดลง 2. การรักษาขั้นผ่าตัด definitive surgery ส่วนใหญ่จะทำในเด็กอายุประมาณ 4-6 เดือน สำหรับเด็ก HD ที่มาในระยะแรกคลอด หรือประมาณ 1-2 เดือน หลังจากวินิจฉัยได้ในเด็กโต เพื่อประโยชน์ในการ decompress bowel ให้ลำไส้ยุบแฟบลงมากที่สุด วัตถุประสงค์หลัก ของการผ่าตัดใน Hirschsprung's disease คือ ต้องการตัดส่วนที่เป็น aganglionic segment ออก และนำส่วน proximal ganglionic bowel มาต่อกับ normal anorectum
|
||||||||||||||||||
แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างๆ กัน ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ |
||||||||||||||||||
ข้อแทรกซ้อน | ||||||||||||||||||
References | ||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
Copyright (c) Chulalongkorn University
|