พยาธิกำเนิด
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าโรคภูมิแพ้ชนิด Atopic dermatitis เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยมีความผิดปกติของยีนหลายๆ ตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกัน โดยร่างกายมีแนวโน้มในการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันเป็นแบบ Th2 response และผิวหนังผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ชนิด Atopic dermatitis เสียความสามารถในการเป็นตัวขวางกันสารจากภายนอกร่างกาย พบว่าระดับ ceramide ที่ผิวหนังลดลง ขณะเดียวกันการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (transepidermal water loss) เพิ่มขึ้น เมื่อมีปัจจัยจากภายนอกร่างกายมากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน จึงทำให้การตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันเป็นแบบ Th2 response แต่เมื่อการดำเนินโรคเรื้อรัง มีการแกะเกาผิวหนังเรื้อรัง จะมีการตอบสนองแบบ Th1 response ร่วมด้วย โดยพบว่าผิวหนังปกติและผื่นในระยะเฉียบพลันของผู้ป่วยโรคนี้ จะมีระดับ IL-4, IL-5, IL-13 ซึ่งเป็น Th2 ไซโตไคน์ (cytokine) มากกว่าปกติ แต่ในผื่นระยะเรื้อรังจะพบทั้ง IL-4, IL-5, IL-13 และ IFN-g, IL-12 ซึ่งเป็น Th1 ไซโตไคน์เพิ่มขึ้นด้วย (รูปที่8) พบความผิดปกติทางระบบภูมิคุ้มกันดังนี้
1. ปริมาณ IgE ในซีรั่มเพิ่มขึ้น และพบ IgE ที่ตอบสนองต่อแอนติเจนที่จำเพาะเพิ่มขึ้น

รูปที่ 8
2. B cell และ monocyte เพิ่มการแสดงออกของ low affinity IgE receptor (CD23)
3. มีระดับ Eosinophil ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
4. Basophil หลั่ง histamine เพิ่มขึ้น
5. เสียการตอบสนองแบบ delay-type hypersensitivity
6. เพิ่มการหลั่ง IL-4,IL-5 และ IL-13 โดยเซลล์ชนิด Th2
7. ระดับของ soluble IL-2 receptor ลดลงในซีรั่ม
8. ระดับของ monocyte CAMP-phosphodiesterase, IL-10 prostaglandin-E2 เพิ่มขึ้น
สำหรับปัจจัยภายนอกร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดโรค ได้แก่
• อาหาร ได้แก่ นม ข้าวสาลี ถั่วลิสงและถั่วเหลือง เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคในผู้ป่วยอายุน้อย โดยมีรายงานที่แสดงว่าการงดอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรค สามารถทำให้โรคดีขึ้น นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคปานกลางหรือรุนแรง มักให้ผลบวกต่อการทดสอบ immediate skin test ต่ออาหาร และพบระดับ IgE ที่จำเพาะต่ออาหารชนิดนั้นๆ เพิ่มขึ้นในซีรั่มอีกด้วย
• ไรฝุ่น (house dust mite) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Dermatophagoides pteronyssinus มีการศึกษาโดยนำผู้ป่วยที่เป็นโรค มาทำ bronchial challenge ด้วยไรฝุ่น พบว่าทำให้โรคเป็นมากขึ้น และอาการของโรคจะลดลง หากผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงไรฝุ่นได้
• สารระคายเคือง (irritants) เช่น เสื้อผ้าเนื้อสาก สบู่ ผงซักฟอก
• สารจากเชื้อจุลินทรีย์ เช่น endotoxin, superantigen สามารถตรวจพบเชื้อ S.aureus ได้มากกว่า 90% ของผื่นของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ atopic dermatitis นอกจากนี้ยังพบว่าการรักษาผู้ป่วยด้วยยาปฏิชีวนะร่วมกับคอติโคสเตอรอย์ ได้ผลดีกว่าการใช้คอติโคสเตอรอย์เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส herpes และเชื้อรา P. ovale ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคได้
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า แอนติเจนของผิวหนังผู้ป่วยเอง เช่น รังแค (human skin dander) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคได้
จากพยาธิกำเนิดของโรค สามารถแบ่งกลุ่มผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ชนิด Atopic dermatitis ได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1. Extrinsic from พบได้ 70-80% ของผู้ป่วย ในกลุ่มนี้การเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับระดับ IgE
2. Intrinsic form พบได้ 20-30% ของผู้ป่วย ในกลุ่มนี้การเกิดโรคไม่มีความสัมพันธ์กับระดับ IgE แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการสร้าง IL-4 และ IL-13 น้อยกว่ากลุ่ม Extrinsic from
พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มมีระดับ Eosinophil ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย