ไวรัสตับอักเสบซีหรือ HCV เป็นไวรัสที่มีความสำคัญอีกตัวหนึ่ง ในการติดต่อมายังบุคลากรทางสาธารณสุขจากอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงาน ถึงแม้ว่าโอกาสติดเชื้อจะน้อยกว่า HBV ประมาณ 10 เท่า แต่เมื่อติดเชื้อแล้ว ผู้ป่วยมากกว่าครึ่งจะมีอาการตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งบางรายอาจกลายเป็นตับแข็ง (cirrhosis) หรือมะเร็งในตับต่อไปได้ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเช่นดัง HBV |
การตรวจทางปฏิกริยาน้ำเหลืองสำหรับ HCV นั้น เป็นการตรวจแอนติบอดีด้วยวิธี enzyme immunoassay (EIA) ซึ่งใช้ชุดการตรวจสำเร็จรูป การตรวจจะได้ผลบวกต่อเมื่อผู้ป่วยรายนั้นติดเชื้อมาแล้วโดยเฉลี่ยเกือบสามเดือน (ช่วงตั้งแต่ 6-8 สัปดาห์จนถึง 6 เดือนหรือมากกว่า) จึงมีช่วงเวลาที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อและตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือด (viremia) แต่ตรวจไม่พบการติดเชื้อด้วยวิธี EIA (window period) ได้นานถึง 2 เดือนหรือมากกว่า การตรวจหา viremia ด้วยวิธี PCR จึงถูกนำมาพิจารณาใช้ในหลายประเทศ สำหรับในการคัดกรองเลือดที่มีผู้มาบริจาค ตลอดจนใช้ในการตรวจวินิจฉัย ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ยังอาจอยู่ใน window period ดังกล่าว |
ข้อจำกัดที่สำคัญของการตรวจหาแอนติบอดี ในการวินิจฉัยการติดเชื้อจาก HCV นอกจาก window period หลังการติดเชื้อมากกว่า 2 เดือน ก่อนที่จะตรวจพบแอนติบอดีแล้วนั้น ปัญหาที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือผลบวกลวง (false positive) ซึ่งหากไปตรวจหาแอนติบอดีต่อ HCV ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ผู้มาบริจาคโลหิต (ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อเพียง 1-2%) หากตรวจพบผลบวกโดยวิธี EIA แล้ว พบว่าเป็นผลบวกลวงมากกว่าครึ่งหนึ่ง[Gretch, 1997 #8] การแปลผลการตรวจ anti-HCV โดยวิธี EIA จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้ด้วย และพิจารณาตรวจยืนยันด้วยวิธีอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ความเสี่ยงต่ำ เช่น RIBA (recombinant immunoblot assay) หรือตรวจหา HCV RNA ในเลือด โดยวิธี PCR เป็นต้น |