การวินิจฉัยโรคติดเชื้อ

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อกระทำได้หลายวิธี เช่น
1. การเพาะเชื้อหรือแยกเชื้อ
ใช้ในการวินิจฉัยโรคติดเชื้อหลายประเภท นับตั้งแต่ แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ตลอดจนเชื้อปรสิตบางชนิด ข้อดีคือ การเพาะได้จุลชีพก่อโรค จากสิ่งส่งตรวจที่ไม่ควรพบเชื้อนั้นๆ ในภาวะปกติ เป็นการวินิจฉัยโรคที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้สูง เช่น การตรวจพบแบคทีเรียในกระแสเลือดของผู้ป่วยที่สงสัยภาวะการติดเชื้ออย่างรุนแรง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของการเพาะเชื้อคือ สามารถทำได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการบางแห่ง และสำหรับจุลชีพบางชนิดเท่านั้น
2. การตรวจโดยตรง (direct examination)
โดยการตรวจเลือด สิ่งคัดหลั่ง เนื้อเยื่อหรืออวัยวะและพบจุลชีพ, ผลิตภัณฑ์โปรตีนของจุลชีพ, หรือพยาธิสภาพจำเพาะที่เกิดจากจุลชีพนั้นๆ เช่น การนำเสมหะมาย้อมสีทนกรด (acid fast stain) พบเชื้อมัยโคแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นเชื้อวัณโรค, การตรวจหาจุลชีพในเลือดโดยวิธีการขยายสารพันธุกรรมของเชื้อนั้น เช่น polymerase chain reaction (PCR) เพื่อตรวจหาไวรัสหลายชนิดในเลือด เช่น ไวรัสเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี, การตรวจหา Cryptococcal antigen (ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผลิตจากเชื้อ Cryptococcus) โดยวิธี latex agglutination ในน้ำไขสันหลังหรือในเลือด ในผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา Cryptococcus, การตรวจพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อพบเซลล์ผิดปกติที่มี inclusion body ที่มีลักษณะเหมือนตานกฮูก (owl’s eye appearance) ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ cytomegalovirus (CMV), หรือการตรวจพบพยาธิสภาพที่เรียกว่า caseous granuloma ในอวัยวะที่เกิดโรค ชวนให้สงสัยอย่างมากว่า ผู้ป่วยอาจติดเชื้อวัณโรคเป็นต้น
3. การตรวจพบการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยต่อจุลชีพก่อโรค
ซึ่งเป็นหลักฐานโดยอ้อม (indirect evidence) ว่าผู้ป่วยติดเชื้อจากจุลชีพนั้นๆ วิธีการที่มีประโยชน์ กระทำได้ไม่ยาก และนิยมใช้ในทางคลินิกกันมานาน คือการตรวจหาแอนติบอดี ด้วยการใช้ปฏิกริยาน้ำเหลือง (serological diagnosis) การวินิจฉัยด้วยวิธีการดังกล่าว จะนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุดได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับหลักการแปลผล และข้อจำกัดของการใช้ ดังจะกล่าวต่อไป