การรักษา
ในที่นี้ จะกล่าวถึงพอสังเขปเฉพาะในบางโรคเท่านั้น
1. infectious mononucleosis ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการเพียงการรักษาประคับประคอง และรักษาตามอาการ การศึกษาเปรียบเทียบหลายชิ้น ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ระหว่างยาหลอก กับการให้ acyclovir(21) และสเตียรอยด์(22) พบว่าการให้ยาไม่ได้ทำให้ช่วงเวลาเจ็บป่วยลดน้อยลง การให้สเตียรอยด์อาจทำให้ช่วงเวลาที่มีไข้และอาการเจ็บคอสั้นลง แต่ไม่แนะนำให้ใช้เพราะทำให้ภาวะแทรกซ้อนบางอย่างเพิ่มขึ้น(23) จึงมีข้อบ่งชี้เฉพาะในบางกรณี เช่น (impending) upper airway obstruction (จากการที่ต่อมทอนซิลโตมากๆ), acute hemolytic anemia, severe cardiac involvement, หรือ CNS involvement เป็นต้น(10)
2. EBV lymphoproliferative disease การศึกษาส่วนใหญ่ ทำในผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- การป้องกันการเกิด หลังปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ในผู้ป่วยปลูกถ่ายไขกระดูก ส่วนใหญ่แล้วโรคจะเกิดจาก EBV ของผู้บริจาค การฉีด EBV-specific cytotoxic T lymphocyte ที่เตรียมจากผู้บริจาคไขกระดูก ให้กับผู้ป่วยหลังจากได้รับไขกระดูก จึงพบว่าลดโอกาสเกิดโรคนี้ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ (solid organ transplant) โรคนี้มักเกิดจาก EBV ของตนเอง
- การรักษา เริ่มต้นด้วยการลดปริมาณยากดภูมิคุ้มกัน หากเป็นไปได้ ซึ่งอาจทำให้รอยโรคของ EBV lymphoproliferative disease หายไปได้ในบางกรณี การผ่าตัดหรือการให้รังสีรักษา ได้ผลในผู้ป่วยบางราย การให้ acyclovir มักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากยาไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสในระยะที่เป็น linear form ในขณะที่ไวรัสที่อยู่ใน lymphoid cells มักจะเป็น episome คืออยู่ในระยะซ่อนตัว (latency)
การรักษาด้วยวิธีการทางภูมิคุ้มกัน ถูกนำมาใช้อยู่หลายวิธีด้วยกัน(10) นับตั้งแต่การใช้ interferon alfa มีรายงานว่าได้ผลในผู้ป่วยบางราย การให้ monoclonal antibody ต่อ CD21 และ CD24 ร่วมกัน ซึ่งรายงานว่าได้ complete remission ถึง 61% ของผู้ป่วย การให้ rituximab ซึ่งเป็น monoclonal antibody ต่อ CD20 ซึ่งเป็น B-cell antigen กำลังเป็นที่สนใจ เนื่องจากได้ผลดีในผู้ป่วยที่ล้มเหลวจากการลดปริมาณยากดภูมิคุ้มกัน หรือจากการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีวิธีการอื่นๆ อีก เช่น adoptive transfer ของ autologous EBV-specific cytotoxic T lymphocyte เป็นต้น