ในการเปรียบเทียบความสามารถที่แท้จริงในการยืดขยายตัวของหลอดเลือดว่าหลอดเลือดใด
สามารถยืดขยายได้มากกว่ากันนั้นสามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของหลอดเลือด
ต่อการเปลี่ยนแปลงของความดันไปหนึ่งหน่วย หากเอาหลอดเลือดแดงหรือ หลอดเลือดดำใหญ่ออกมาจากร่างกายแล้วนำมาผูกปลายทั้งสองข้าง
หลังจากนั้นเอาเลือดหรือสารน้ำฉีดเข้าไปช้าๆเข้าไปภายในท่อกลวงของหลอดเลือดที่ผูกปลายอยู่
จะมีการเพิ่มขึ้นของปริมาตรเลือดหรือสารน้ำภายในไปพร้อมกันกับการเพิ่มของความดันภายในหลอดเลือด
เราสามารถนำเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของปริมาตรกับความดันภายในหลอดเลือดมาสร้าง
(plot) กราฟได้ (รูปที่
8) เส้นกราฟนี้เรียกว่า pressure-volume curve หรือ distensibility
curve |
ความชัน
(slope) ที่จุดใดๆ ซึ่งเป็นสัดส่วนระหว่างเปอร์เซ็นต์ของการเพิ่มขึ้นของปริมาตรต่อการ
เพิ่มขึ้นของความดัน ซึ่งก็คือค่าของความสามารถในการยืดขยายตัว (distensibility)
นั่นเอง (โดยที่ distensibility =[ปริมาตรที่เปลี่ยนไป] / [ค่าปริมาตรเริ่มต้น
x ความดันที่เปลี่ยนไป] ) ค่าของความชันหรือdistensibility นี้จะเปลี่ยนแปลงไป
ตามความหนาและปริมาณอิลาสตินใน ผนังหลอดเลือด รวมทั้งขึ้นกับความมาก
- น้อย ในการเพิ่มขึ้นของปริมาตรด้วย คือหากมีปริมาตร เพิ่มขึ้นมากแล้ว
ค่า distensibility ก็จะลดลงได้ หลอดเลือดเอออร์ตา ในคนอายุน้อยจะมี
distensibility สูง และมีการหดกลับสู่สภาวะเดิม (recoil) ได้ดีในช่วงของความดันประมาณ
75 - 150 มม.ปรอท (รูปที่ 9)
เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดนี้มีคุณสมบัติเป็น "pressure storer"
อย่างไร ก็ตามหากความดันสูงกว่านี้ เช่นที่ 200 มม.ปรอท เมื่อมีการเพิ่มปริมาตร
มากเกินไป ผนังหลอดเลือดจะมี ความตึงแข็ง (rigid) จะเห็นเส้นกราฟมีความชันน้อยลง
หมายถึงการมี distensibility ลดลง และการหดกลับคืน (recoil) ไม่ดี เนื่องจากเมื่อมีการยืด
(stretch) ของคอลลาเจนและกล้ามเนื้อเรียบถึง จุดหนึ่งจะทำให้มีการต้านไม่ให้มีการ
ยืดขยายตัวต่อไป |
หลอดเลือดดำมีค่า
distensibility สูงเมื่อประเมินที่ความดันปกติ (0-10 มม.ปรอท) พบว่ามีค่าประมาณ
6-8 เท่าของค่าของหลอดเลือดแดง แต่หลอดเลือดจะไม่แสดงคุณสมบัติการมี
distensibility ให้เห็นหากไม่มีการเพิ่มปริมาตรเลือดหรือสารน้ำ เนื่องจากหลอดเลือดดำมีปริมาตรเป็น
3-4 เท่าของ หลอดเลือดแดง ความสามารถในการรับเลือดของระบบหลอดเลือดดำมีประมาณ
25-30 เท่า (ค่านี้หมายถึง compliance ดูย่อหน้าถัดไป) ของหลอดเลือดแดง
ดังนั้นหน้าที่หลักของหลอดเลือดดำที่จะเป็นแหล่งเก็บเลือดหรือ "
volume storer" ของระบบไหลเวียน |
ความหยุ่นตาม
(compliance) หรือ ความจุ (capacitance) ทั้งสองเป็นคำที่ความหมายคล้ายกัน
มักใช้แทนกันได้ แต่มีความแตกต่างจาก distensibility กล่าวคือ compliance
หรือ capacitance หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรต่อหนึ่งหน่วยที่เปลี่ยนไปของความดัน
เมื่อมีการเพิ่มปริมาตรเลือดหรือสารน้ำเข้าไปในหลอดเลือดโดยมิได้คำนึงถึงขนาดเริ่มต้นของหลอดเลือด
โดยที่ distensibility จะคำนึงถึงขนาดเริ่มต้นของหลอดเลือดด้วย ทั้ง
compliance และ distensibility มักใช้ในการอธิบาย ถึงความสามารถในการขยาย
(expandability) ของหลอดเลือดหรืออวัยวะ เช่น ปอด อย่างไรก็ตามทั้ง distensibility
และ compliance มีข้อดี-ข้อเสียในการนำไปใช้ ต่างกัน ได้แก่ เมื่อต้องการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของความดันกับปริมาตร
ระหว่างหลอดเลือดที่ต่างกัน หากมิได้คำนึงถึงขนาดของหลอดเลือด จะไม่สามารถเปรียบเทียบได้อย่างยุติธรรม
ซึ่งจริงๆ แล้วในหลอดเลือดขนาดเล็ก การเพิ่มของปริมาตรที่เท่ากันจะทำให้มีการเพิ่มความดันขึ้นได้มากกว่าเมื่อเทียบกับหลอดเลือดขนาดใหญ่
ดังนั้นเห็นได้ว่าหลอดเลือดขนาดเล็กมี compliance น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้
distensibility จึงทำให้เปรียบเทียบคุณลักษณะจำเพาะของหลอดเลือดต่างชนิดกันหรือต่างขนาดได้ดีกว่า
แต่ compliance ก็มีข้อดีอยู่ในกรณีที่ต้องการทราบว่าระบบหลอดเลือดใดสามารถที่จะจุเลือดได้มากกว่ากัน
ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าในแง่สรีรวิทยาและการนำไปใช้ |
distensibility
ยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอายุ โรค การกระตุ้นของประสาทอัตโนมัติ
และยาหลายชนิด ผนังหลอดเลือดในคนสูงอายุมักจะมีการสะสมของ fibrous tissue
ที่มีความยืดหยุ่นน้อย ทำให้เกิดการยึดและขาดความยืดหยุ่นของหลอดเลือด
รูปที่ 8 การเปลี่ยนแปลงตามอายุนี้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง
ความดันกับปริมาตรการไหลของหลอดเลือดแดงทั้งระบบ อย่างไรก็ตามเมื่ออายุมากขึ้นขนาดของ
หลอดเลือดแดงเอออร์ตามักมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย ซึ่งอาจมีผลทำให้มีการชะลอการลดลงของ
distensibility จากการที่มีการเพิ่มขนาดนี้เองทำให้หลอดเลือดเอออร์ตาสามารถรับเลือดที่ส่งออกมาจาก
left ventricle ได้โดยมีการเพิ่มของความดันไม่มากนัก |