การหาระยะต่างๆ ในวัฏจักรของเซลล์ วัฎจักรของเซลล์และระยะต่างๆ
การหาว่าเซลล์อยู่ในระยะอะไร ทำได้หลายวิธี เช่น เซลล์ที่อยู่ในระยะ S สามารถที่จะทดสอบได้โดยการนำสารกัมมันตรังสี เช่น 3H มาติดฉลากบน Thymidine ซึ่งเป็นสารจำเป็นที่เซลล์ใช้สำหรับการสร้าง DNA เป็น 3H-thymidine หรือใช้สารเคมี เช่น Bromodeoxyuridine (BrdU) ซึ่งเป็น Thymidine analog โดยนิวเคลียสของเซลล์ที่อยู่ในระยะ S ซึ่งกำลังสร้าง DNA และใช้ Thymidine หรือ Thymidine analog สามารถที่จะถูกตรวจพบจากการเกิด Autoradiography หรือใช้วิธีการย้อมสีโดยใช้ Anti-BrdU antibody โดยทั่วไปแล้วเซลล์ที่มีการเจริญเติบโตอยู่มักจะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่มักจะเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน (Asynchrony) และมักจะพบว่ามีเซลล์อยู่ในระยะ S ประมาณร้อยละ 30 และจากสัดส่วนของเซลล์ที่ตรวจได้นี้ ยังสามารถนำมาใช้หาระยะเวลาของระยะS ต่อวัฏจักรของเซลล์ โดยวิธีเดียวกันเราสามารถที่จะหาว่ามีเซลล์อยู่ในระยะ M ประมาณร้อยละเท่าไร และหาระยะเวลาของระยะ M ต่อวัฏจักรของเซลล์ได้เช่นกัน และทำให้เราสามารถทราบระยะต่างๆ ในวัฏจักรของเซลล์ได้
How can one tell where a cell is in the cycle?
Cells in S phase can be recognized by...
supplying them with labeled molecules of thymidine
3H-thymidine
bromodeoxyuridine (BrdU)
autoradiography
staining with anti-BrdU
Typically, in a population of growing cells, 30% of cells is in S phase.

นอกจากนี้ยังมีการนำวิธี Flowcytometry มาใช้ศึกษาเซลล์ (7-8) โดยการหา DNA content ในแต่ละเซลล์ เซลล์ที่ศึกษาจะถูกย้อมด้วยสีฟลูออเรสเซนต์ ลักษณะปริมาณการติดสีฟลูออเรสเซนต์ของ DNA ในแต่ละเซลล์จะเป็นสัดส่วนโดยตรงต่อจำนวน DNA content ในแต่ละเซลล์นั่นเอง เซลล์จะมีลักษณะปริมาณการติดสีฟลูออเรสเซนต์ของ DNA เป็น 3 ลักษณะ คือ เซลล์ในระยะ G1 ไม่มีการเพิ่มจำนวน DNA มีลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น 1 arbitrary unit เซลล์ในระยะ S เริ่มมีการเพิ่มจำนวน DNA เกิดขึ้น มีลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น intermediate คืออยู่ระหว่าง 1 arbitrary unit และ 2 arbitrary unit และเซลล์ในระยะ G2 และ M มีการเพิ่มจำนวน DNA เป็น 2 เท่า มีลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น 2 arbitrary unit (รูปที่ 3)

How can one tell where a cell is in the cycle?
Alternatively, by the use of a fluorescence-activated cell sorter.
รูปที่ 3. การศึกษา DNA content โดยวิธี Flowcytometry
Measuring the DNA content

รูปที่ 3 A
แสดง DNA content ของเซลล์ในระยะต่างๆ ในวัฏจักรของเซลล์

(click ที่ภาพเพื่อดูภาพเคลื่อนไหว)

รูปที่ 3 B
แสดง DNA content ของเซลล์ในระยะต่างๆ เป็นรูปกราฟ เซลล์ในระยะ G0 และ G1 ไม่มีการเพิ่มจำนวน DNA มี DNA content คิดเป็น 2C ขณะที่เซลล์ในระยะ G2 และ M มีการเพิ่มจำนวน DNA เป็น 2 เท่า มี DNA content คิดเป็น 4C

(click ที่ภาพเพื่อดูภาพเคลื่อนไหว)

รูปที่ 3 C
เมื่อแปลงเป็นภาพที่นำเสนอโดย Flowcytometry

(click ที่ภาพเพื่อดูภาพเคลื่อนไหว)

รูปที่ 3 D
ภาพที่นำเสนอโดย Flowcytometry เซลล์ในระยะ G0 และ G1 มี ลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น 1 arbitrary unit (2C) เซลล์ในระยะ S มีลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น intermediate คืออยู่ระหว่าง 1 arbitrary unit และ 2 arbitrary unit และเซลล์ ในระยะ G2 และ M มีลักษณะการติดสีฟลูออเรสเซนต์เป็น 2 arbitrary unit (4C)

(click ที่ภาพเพื่อดูภาพเคลื่อนไหว)