การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา และพยาธิสรีรวิทยาในวัยหมดระด...
             การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะสืบพันธุ์ และทางเดินปัสสาวะ
        เนื้อเยื่อของอวัยวะสืบพันธุ์ และระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ท่อปัสสาวะ (urethra) และ

ส่วน trigone  ของกระเพาะปัสสาวะเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียงกัน  และเจริญเติบโตมาด้วยกัน

ตั้งแต่ระยะเอ็มบริโอ (embryo)  นอกจากนี้ยังพบ ตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) ใน

เนื้อเยื่อของอวัยวะทั้งสองระบบ ดังนั้นการลดลงของระดับเอสโตรเจนในวัยหมดระดู จึงอาจมี

ผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและอาการต่างๆ ดังนี้ (3,15)

       
1. ผลต่ออวัยวะสืบพันธุ์
            ระดับเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงในวัยหมดระดู จะมีผลต่ออวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่

ตอบสนองต่อเอสโตรเจนดังนี้คือ

       
1.1 ปากช่องคลอด (vulva)
                  ปากช่องคลอดจะมีการสูญเสียส่วนของคอลลาเจน   (collagen)   เนื้อเยื่อไขมันและ

ความสามารถในการอุ้มน้ำของเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ต่อมของเซลล์บุผิว (epithelial gland) จะมีการ

ฝ่อลีบและบางลง สารคัดหลั่งจากต่อม sebaceous ลดลง    จึงอาจทำให้มีอาการเจ็บ แสบร้อน

คัน หรือรู้สึกแห้งบริเวณปากช่องคลอดได้      ในส่วนของหนังหุ้มปลาย (prepuce) ของคลิตอริส (clitoris)  จะฝ่อลีบมากกว่าส่วนหัว (glans)   ทำให้คลิตอริสได้รับการเสียดสีและระคายเคืองได้

ง่ายขึ้น

       
1.2  ช่องคลอด (vagina)
                   ผนังช่องคลอดเป็นเยื่อเมือก (mucosa) ซึ่งมีต่อมที่จะสร้างสารคัดหลั่ง การทำงาน

ของต่อมเหล่านี้จะขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน      เมื่อมีระดับของเอสโตรเจนต่ำ ต่อมเหล่านี้จะไม่

สามารถสร้างสารคัดหลั่งได้เพียงพอ        จึงทำให้เกิดอาการช่องคลอดแห้ง (vaginal dryness)

การหลั่งสารหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ช้าลง       และตามมาด้วยอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ (dyspareunia) การขาดเอสโตรเจนทำให้ผนังช่องคลอดบางลง ซีด ยืดหยุ่นน้อยลง รอยย่นของ

ผิวด้านในช่องคลอด (rugae) หายไป ช่องคลอดจะสั้นและแคบลง     ผิวด้านในของช่องคลอด

เปื่อยยุ่ยง่าย  อาจมีจุดเลือดออก (petechiae)  หรือมีแผลเกิดขึ้นและมีเลือดออกได้ง่าย เกิดการ

ยึดติด (adhesion)  ของช่องคลอดได้ง่ายโดยเฉพาะรายที่ไม่ค่อยมีเพศสัมพันธ์

                  สารคัดหลั่งที่สร้างจากต่อมบริเวณเยื่อเมือกของผนังช่องคลอด ประกอบด้วย polysaccharide ซึ่งจะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียที่ชื่อว่า lactobacilli ไปเป็นกรดแลคติค

(lactic acid) ทำให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรด (pH 3.5-4.5)  ซึ่งจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ

แบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดโรคได้    ในสภาวะที่ขาดเอสโตรเจนต่อมบริเวณเยื่อเมือกไม่สามารถสร้าง

polysaccharide ได้  จึงทำให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นด่าง (pH 6-8) ซึ่ง lactobacilli    ไม่สามารถ

เจริญเติบโตได้ดี จึงทำให้เชื้อแบคทีเรีย ชนิดอื่นๆ ได้แก่ streptococci, enterococci และ

esterichia coli เจริญเติบโตขึ้นมาแทนที่ ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย จึงอาจทำให้มีอาการ

เจ็บแสบและคันได้

       
1.3  มดลูก (uterus)
                   จากการบางลงของเนื้อเยื่อของอวัยวะสืบพันธุ์ อันเป็นผลมาจากการขาดเอสโตรเจน

จึงพบว่าปากมดลูกเป็นแผลได้ง่ายและอาจมีลักษณะของ erosion  ต่อมภายในคอมดลูก

(endocervix) จะสร้างสารคัดหลั่งลดลง จึงมีส่วนทำให้ช่องคลอดแห้งมากขึ้นสำหรับการหย่อน

ตัวของมดลูก (uterine prolapse) กระเพาะปัสสาวะ (cystocele) และผนังของไส้ตรง

(rectocele) พบว่าน่าจะเป็นผลมาจากอายุที่มากขึ้นทำให้ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อลดลง รวมถึง

ปัจจัยที่เป็นอันตรายต่อผนังช่องคลอด  เช่น  การคลอดที่ไม่ถูกวิธีมากกว่าเป็นผลจากการขาด

เอสโตรเจนโดยตรง

       2.  ผลต่อทางเดินปัสสาวะ (3,15,16)
            ท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และฐานเชิงกราน (pelvic floor)  เป็นส่วนของทางเดิน

ปัสสาวะที่มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการขับถ่ายปัสสาวะ เนื้อเยื่อของอวัยวะดังกล่าว จะไวต่อ

การเปลี่ยนแปลงของระดับเอสโตรเจน  ในสภาวะปกติ แรงดันในท่อปัสสาวะ (urethral

pressure) จะสูงกว่าแรงดันในกระเพาะปัสสาวะ (intravesical pressure) ทำให้กลั้นปัสสาวะ

ได้  ยกเว้นในขณะถ่ายปัสสาวะ (micturition) ที่แรงดันในกระเพาะปัสสาวะจะสูงกว่าแรงดันใน

ท่อปัสสาวะ   เนื้อเยื่อของท่อปัสสาวะที่มีผลต่อการกลั้นและการขับถ่ายปัสสาวะ     ซึ่งไวต่อการ

เปลี่ยนแปลงของระดับเอสโตรเจนประกอบด้วย(75)

            2.1  เนื้อเยื่อบุผิว (epithelium)

            2.2  เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยง (vasculature)

            2.3  เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue)

            2.4  กล้ามเนื้อ (muscle)

            โดยปกติเอสโตรเจนจะกระตุ้นให้มีการแบ่งตัวของเซลล์บุผิวบริเวณท่อปัสสาวะ        และ

กระเพาะปัสสาวะทำให้มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์  superficial  และ intermediate  เช่นเดียวกับ

เซลล์บุผิวของช่องคลอด   เอสโตรเจนจะช่วยให้มีการขยายตัวของหลอดเลือด และมีการไหลเวียน

ของเลือดมาบริเวณดังกล่าวมากขึ้น   นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันโดยเฉพาะ

คอลลาเจนที่อยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ  และยังกระตุ้นตัวรับแอลฟา (alpha receptor)  ที่อยู่บริเวณ

ล้ามเนื้อหูรูดของท่อปัสสาวะ (urethral sphincter) ทำให้การหดรัดตัวของหูรูดดีขึ้น

            การขาดเอสโตรเจนทำให้เยื่อเมือกและเซลล์บุผิวบางลง         ทำให้มีการเจริญเติบโตของ

แบคทีเรีย และเกิดการอักเสบติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่ายขึ้นการขาดเอสโตรเจนทำให้

เลือดที่มาหล่อเลี้ยงลดลง เครือข่ายหลอดเลือดดำ (venous plexa) ที่อยู่รอบท่อปัสสาวะ  ซึ่งเป็น

ตัวปรับความดันระหว่างการขับถ่ายปัสสาวะให้สม่ำเสมอ ราบเรียบ จะลดลง  ทำให้กายวิภาคของ

ท่อปัสสาวะผิดแปลกไป  กอปรกับการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อหูรูดเปลี่ยนแปลงไป   จึงมีผลต่อการ

กลั้นและขับถ่ายปัสสาวะ   ดังนั้น จึงพบว่าสตรีที่เข้าสู่วัยหมดระดู อาจมีอาการของระบบทางเดิน

ปัสสาวะ เช่น ถ่ายปัสสาวะบ่อย  (frequency) กลั้นปัสสาวะไม่ได้ (urinary incontinence) 

เป็นต้น

           นอกจากการบางลงของเซลล์บุผิวบริเวณทางเดินปัสสาวะแล้ว  การขาดเอสโตรเจนทำให้

ช่องคลอดแคบและสั้นลง ทำให้รูเปิดของท่อปัสสาวะ (urethral meatus)  เปลี่ยนมุมไปจากเดิม โดยลดต่ำลง หันเข้าสู่ช่องคลอดมากขึ้น   ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย   จึงพบว่าสตรีวัยหมดระดู

มักมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก (dysuria) จากท่อปัสสาวะอักเสบ (urethritis) และมีการติดเชื้อ

ซ้ำของทางเดินปัสสาวะ (recurrent urinary tract infections) ได้บ่อย  ในส่วนของท่อปัสสาวะ

ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน       โดยส่วนปลายท่อ (distal urethra) จะสูญเสียความยืดหยุ่นและ

แข็งขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิด urethral caruncle, diverticula และท่อปัสสาวะโป่ง (urethrocele)

           นอกจากนี้   สตรีวัยหมดระดู อาจมีอาการ  urethral syndrome ได้บ่อย     กลุ่มอาการนี้

ประกอบด้วยอาการถ่ายปัสสาวะบ่อย  (frequency) ปวดแสบปวดร้อน (burning)  ถ่ายปัสสาวะ

ลำบาก  (dysuria)  ปัสสาวะบ่อยกลางคืน  (nocturia)  ต้องรีบถ่ายปัสสาวะ  กลั้นไว้ไม่ได้นาน (urgency)   โดยตรวจไม่พบเชื้อแบคทีเรียจากการเพาะเชื้อในปัสสาวะ  สำหรับ genuine stress incontinence ไม่พบว่าสัมพันธ์กับการขาดเอสโตรเจนในวัยหมดระดูอย่างชัดเจน