หน้าที่ของ Hairs คือ |
1. |
ป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อน |
2. |
ป้องกันไม่ให้ผิวหนังได้รับอันตราย |
3. |
Hairs ในบางตำแหน่ง เช่น ขนตา ขนคิ้ว ขนรูจมูก
จะช่วยป้องกันอวัยวะเหล่านั้นจากอันตราย นอกจากนี้ Hairs
บนศีรษะยังช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดทำลายผิวหนังศีรษะ |
4. |
เป็นอวัยวะรับความรู้สึกชนิดหนึ่ง (Touch organ)
ซึ่งในรูขุมขนจะมีเส้นประสาทมากมายที่รับความรู้สึก เมื่อมี
แรงกดบน Hairs (Tactile sensibility) |
5. |
เป็นตัวนำให้สารออกจากร่างกายเช่นไขมัน(Sebum)
ที่สร้างจากต่อมไขมัน (Sebaceous glands) และเหงื่อ
จากต่อม Apocrine glands |
6. |
เป็นส่วนสำคัญต่อบุคลิกลักษณะของร่างกาย (Body
image) ช่วยดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม |
7. |
รูขุมขน (Hair follicles) มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาสมดุลของ
epidermis (Epidermal homeostasis) การ
หายของแผล (wound healing),การกลับคืนสภาพเดิมของสีผิวหนังในคนไข้ที่เป็นโรคด่างขาว
(Vitiligo) เป็นต้น |
ขนและรูขุมขน พบได้ทั่วร่างกาย ยกเว้น บริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ด้านหลังของปลายนิ้วมือนิ้วเท้า,
บริเวณรูเปิดปิด
ของทวารหนัก (anus), บริเวณ glans penis prepure
clitoris labia minora ด้านในของ labia majora และริมฝีปาก |
|
ลักษณะทางโครงสร้างของขนและรูขุมขน(รูปที่ 8-12)
รูขุมขน
(Hair follicles) เป็นที่อยู่ของขน (Hairs) มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก
เจริญจาก epidermis ที่ยาวยื่นลงไปใน dermis บริเวณส่วนปลายลึกสุดจะมี
dermis ยื่นลึกเว้าเข้ามาทำให้เกิดเป็นกระเปาะขึ้นเรียกว่า dermal hair
papillae ซึ่งเป็นที่อยู่ของ hair matrix ทำหน้าที่เป็นตัวสร้างเส้นขน
(hair shaft) ให้ยาวยื่นขึ้นมาในรูขุมขน จนเปิดออกสู่ผิวหนัง
เห็นเป็นเส้นขน ผนังรูขนจะประกอบไปด้วยโครงสร้างต่างๆ เรียงจากด้านในสุดออกมาด้านนอกสุด
ดังนี้ |
1. |
Hair matrix อยู่ตรงกระเปาะที่เรียกว่า dermal
hair papillae ประกอบไปด้วย matrix cells มีหน้าที่แบ่งตัว
สร้างเส้นขน (hair shaft) melanocytes
ซึ่งมีหน้าที่สร้าง melanin ก็อยู่ตรงบริเวณนี้ด้วย ทำให้เกิดเป็นสี
ของเส้นผม (Hair color) |
2. |
Hair cuticle |
3. |
Inner root sheath cuticle |
4. |
Huxley 's layer |
5. |
Henle's layer |
6. |
Outer root sheath |
7. |
Glassy or Vitreous layer
เป็นส่วนที่ประสานต่อเนื่องกับ connective tissue ของ dermis |
|
Inner root sheath cuticle,Huxley
's layer,Henle's layer รวมเรียกว่า inner root sheath
|
ส่วนตัวเส้นขนนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3
ส่วน คือ |
1. |
Outer cuticle มีลักษณะเป็นเกล็ดบางๆ ชั้นเดียว
และยึดติดแน่นกับ inner root sheath cuticle |
2. |
Hair cortex เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ประกอบด้วย
เซลล์แบนและยาวหลายชั้น ภายในมี melanin ที่ถูกสร้าง
และส่งมาจาก melanocyte ทำให้เห็นเป็นสีผม |
3. |
Hair medulla ประกอบด้วย vacuolated cells ขนาดใหญ่หลายแถว
และบางครั้งพบว่ามี melanin pigment
ได้ |
รูขุมขนจะมีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยงจำนวนมาก
ผนังด้านหนึ่งของรูขุมขนจะยื่นงอกออกมาเป็น 3 กระเปาะ (Hair bulges) โดยอันล่างสุดจะเป็นที่ยึดเกาะ
(insertion) ของกล้ามเนื้อเรียบที่มีชื่อว่า Arrector pili muscles
(รูปที่1 และ 8) ซี่งการหดตัวของกล้ามเนื้อนี้
(contraction) จะทำให้เกิดภาวะขนลุก การเกิดขนลุกนี้เพื่อให้ร่างกายเก็บ
รักษาความร้อนเอาไว้ในร่างกาย ส่วนกระเปาะอันกลาง
(middle hair bulges) จะกลายเป็นรูเปิดของต่อมไขมัน (Sebaceous glands)
ทำให้ไขมันที่สร้างขึ้นจากต่อมนี้ (Sebum) ไหลออกมาสู่ผิวหนังภายนอกได้
กระเปาะอันบนสุด (Upper hair bulges)
ในบางตำแหน่งของร่างกายจะสลายไป ในบางตำแหน่งจะเจริญกลายเป็นรูเปิดของต่อม
Apocrine glands
ทำให้สารที่สร้างจากต่อมนี้ไหลออกมาสู่ผิวหนังภายนอกได้
จะเห็นได้ว่าทั้งต่อมไขมันและต่อม Apocrine จะต้องอยู่สัมพันธ์กับ hair follicles
เสมอ ดังนั้นบริเวณที่ไม่มีรูขุมขนก็จะไม่มีต่อมไขมัน และต่อม Apocrine ด้วย
(ยกเว้น ในบางกรณีจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป) |
ลักษณะรูปร่างของรูขุมขนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณของร่างกาย
เช่น บริเวณหนังศีรษะ รูขุมขนจะมีรูปร่าง
ยาว และตั้งค่อนข้างตรงกับผิวหนัง
ซึ่งจะสร้างผมที่ยาวเมื่อเปรียบเทียบกับรูขุมขนบริเวณลำตัว จะมีลักษณะค่อนข้าง
สั้นและอ้วนกว่า จะสร้างขนที่สั้นและเล็กกว่า
ส่วนคนที่มีผมหยิกหยักศกกับคนที่มีเส้นผมตรงเหยียดนั้น แตกต่างกันที่
รูปร่างภาคตัดขวางของรูขุมขน คือ ถ้าเป็นรูปวงรี
เส้นผมจะหยิกหยักศก แต่ถ้าเป็นรูปกลมผมก็จะยาวเหยียดตรง
เช่น ชาวเอเซีย |
เส้นขนสามารถแบ่งตามลักษณะ (Texture) และความยาวได้หลายชนิด
คือ
1. |
Lanugo hairs จะเป็นเส้นผมชุดแรกที่สร้างขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา
มีลักษณะ
นุ่ม, เส้นบาง, สีอ่อน และจะลอกหลุดตั้งแต่อยู่ในครรภ์
(Shed in utero) |
2. |
Vellus hairs หมายถึง
เส้นผมที่มีความยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร เส้นจะบาง สีอ่อนกว่า
และไม่มี hair medulla เช่น ขนบริเวณตัว
ใบหน้า |
3. |
Terminal hairs ส่วนใหญ่จะหมายถึง
ผมบนศีรษะ (scalp hairs) จะมีความยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร
เส้นใหญ่ หนา สีเข้ม |
สีของเส้นขน (Hair color/pigmentation)
เส้นผมหรือขนจะมีสีอย่างไรขึ้นกับ melanocytes
เป็นสำคัญ โดย melanocytes จะอยู่ใน hair matrix สร้าง melamin
pigments แล้วส่งออกไปที่ hair cortex ทำให้เห็นเป็นสีขนขึ้น
แต่จะมีสีอะไรนั้นขึ้นกับชนิดของ melanin pigments ที่สร้างขึ้น |
ชนิดของ melanin
1.Eumelanin จะทำให้ผมหรือขนมีสีน้ำตาลดำ
(Brown/Black) |
2.Pheomelanin จะทำให้ผมหรือขนมีสีแดงบรอนซ์
(Red/Brond) |
โดยสีของ hairs นั้นจะมีความหลากหลายมาก
ขึ้นกับว่ามีจำนวนสัดส่วนของ Eumelanin กับ Pheomelanin
เป็นอย่างไร ก็จะให้สี hairs ไปตามสัดส่วนนั้น |
ส่วนคนผมขาวนั้น
(ผมหงอก) (white/Gray hairs) เกิดขึ้นตามอายุเนื่องจาก
1. melanocytes ไม่สร้าง melanin หรือสร้างน้อยลง
ก็เห็นเป็นผมขาวหรือผมสีเทา |
2. เกิดมีฟองอากาศเล็กๆ บริเวณ hair cortex และ
hair medulla เมื่อแสงแดดส่องกระทบจะเห็นคล้ายเป็นสีเงิน
เป็นเงาแสงขึ้น |
วงจรชีวิตของ Hair (Hair growth cycle)
Hair จะมีระยะเจริญเติบโต (Growth), หยุดเจริญเติบโต (Involution), และระยะพัก
(Resting) ทำให้เกิดเป็น
ระยะของ hair เป็น 3 ระยะ คือ
1. |
Anagen hair เป็นระยะเจริญเติบโต
เซลล์มีการแบ่งตัวมากมาย melanocyte สร้าง melanin ตลอดเวลา (Active
melanization) ซึ่งระยะนี้ยังแบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 6 ระยะ โดยระยะที่
1 ถึง 5 รวมเรียกว่า Pro- anagen stage เป็นระยะที่มีการสร้างเติบโตแต่
Hairs ยังไม่งอกเลยพ้นรูเปิดของรูขุมขนขึ้นมาเหนือผิวหนัง ส่วนระยะที่
6 เรียกว่า Met-anagen stage คือระยะ Hair งอกยาวพ้นรูขุมขนขึ้นมาแล้ว
โดยระยะ Anagen
นี้ Hair follicle จะอยู่ลึกลงไปถึงชั้น
Hypodermis ระยะนี้กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 2-6 ปี แล้วแต่ว่าอยู่บริเวณ
ใดของร่างกาย |
2. |
Catagen Hair เป็นระยะที่ต่อเนื่องมาจาก
Anagen stage Hair จะหยุดการเจริญเติบโต, melanocytes
หยุดสร้าง melanin และ Hair follicle ที่เดิมอยู่ลึกลงไปในชั้น Hypodermis
จะเริ่มหดสั้นมาเรื่อยๆ โดยการ
สลายตัวกลายเป็น membrane เหลืออยู่ ระยะนี้กินเวลาเฉลี่ยประมาณ
2 สัปดาห์ |
3. |
Telogen Hair เป็นระยะที่ต่อเนื่องมาจาก
Catagen stage บริเวณโคน Hair จะเห็นเป็นรูป Club-shaped
และ Hair ก็จะเริ่มหลุดร่วงออกมา ระยะนี้กินเวลาเฉลี่ยประมาณ 1-3 เดือน
และก็เวียนกลับไปสู่ระยะ Anagen stage ใหม่เป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยไป |
|
|
|