BASEMENT MEMBRANE
    เป็นเนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิว และมีความ หนา-บาง ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พบ ในการย้อม H&E บ่งชี้ได้น้อยมาก เช่น ที่หลอดลม หรือบางครั้งบริเวณกระเพาะ ปัสสาวะและท่อน้ำปัสสาวะส่วน ureter
    ส่วนใหญ่ basement membrane ต้องย้อมสีพิเศษจึงจะบ่งชี้ได้ในระดับ LM เช่น ในการย้อม periodic acid-Schiff (PAS) reaction ให้ผลบวกบริเวณ basement membrane ติดสีชมพู เนื่องจากสีมีปฏิกริยาต่อ proteoglycans ที่พบเป็นองค์ประกอบจำนวนมาก ไม่พบพวกเซลล์ เนื้อประสานใน basement membrane แต่ถ้ามีการกระตุ้นที่เหมาะสม เซลล์เนื้อประสาน สามารถเคลื่อนไปอยู่ใน basement membrane ได้
    จากการศึกษาระดับ TEM เนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิวมีความหนา 50-100 nm ลักษณะ ติดสีเข้ม (electron-dense matrix) เรียกชั้นนี้ว่า basal lamina หรือ lamina densa และมี 3-4 nm filaments เชื่อมติดต่อเป็นร่างแหปะปน ชั้น basal lamina ขนาบด้วยชั้น lamina lucida เป็นชั้นที่ติดสีจาง (electronlucent area) โดยเฉพาะชั้นที่อยู่ถัดจาก basal cell membrane พบว่าบรรจุเส้นใยเนื้อประสานชนิดละเอียด และเชื่อมระหว่างผิวเยื่อหุ้มเซลล์ด้านฐานของเซลล์ กับชั้น basal lamina
    ด้านฐานของ basal lamina พบกลุ่มใยเนื้อประสาน เรียก anchoring fibril (Type IX collagen) หรือ microfibrils ยึดติดในแนวตั้งกับ reticular fibrils ซึ่งอยู่ในแนวขนานกับ basal lamina
    เซลล์กล้ามเนื้อและ nerve-supporting cells มี extracellular electron-dense material ล้อมรอบ เหมือนกับ basal lamina ของเนื้อผิว และให้ผลบวกกับ PAS reaction แต่เรียกว่า external lamina แทนชื่อ basement membrane ดังนั้น basal lamina นั้นใช้เรียก basement membrane ในระดับ TEM เท่านั้น 
Basal laminae มีหน้าที่หลายอย่าง เช่น
    1. Structural attchment เป็นตัวเชื่อมระหว่างโครงสร้าง เช่น แผ่นเซลล์เนื้อผิว กับเนื้อประสานที่อยู่ใต้ต่อเนื้อผิว
    2. Compartmentalization ให้เป็นโครงสร้างที่แบ่งสัดส่วนเป็นช่องของเนื้อประสานออกจาก เนื้อผิว  เนื้อประสาท  และเนื้อกล้าม เช่น เนื้อผิว  กล้ามเนื้อ  เนื้อประสาท  มีเนื้อประสานเป็น basal lamina, endomysium และ endoneurium ตามลำดับ กั้นหรือห่อหุ้ม
    3. Filtration กรองสารชนิดต่างๆ เข้า-ออกระหว่างเนื้อผิวและเนื้อประสาน โดยมี basal lamina เป็นตัวควบคุมหรือตะแกรงที่กรอง เช่น ใน renal corpuscle มี glomerular basement membrane เป็น fittration
    4. Polarity induction เนื่องจากเยื่อหุ้มเซลล์เนื้อผิวแต่ละด้าน มีลักษณะและการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้น basal membrane surface จึงมีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างกับ apical และ lateral membrane surface นั่นคือ สามารถเหนี่ยวนำทำให้มีการผลิต basal lamina ได้ ซึ่งมีการสาธิตให้เห็นได้ ในการเลี้ยงเซลล์เนื้อผิวในจานแก้วทดลอง
    5. Tissue scaffoldings พบว่า basal lamina ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างนำร่องให้มีการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อ เช่น ในเส้นประสาทที่บาดเจ็บ หรือถูกตัดขาด สามารถงอกเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้ ถ้ายังคงมี basal lamina คงเหลืออยู่ตรงบริเวณนั้น
องค์ประกอบของ Basal laminae มีอย่างน้อย 5 ชนิด ได้แก่
    1. Type IV collagen
    2. Proteoglycan
    3. Laminin
    4. Entactin and fibronectin : Entactin คือ small sulfated glycoprotein ส่วน fibronectin คือ glycoprotein ชนิดอื่น
    5. Anchoring filaments เป็น collagen type VII เป็นเส้นใยเชื่อมระหว่าง basal lamina กับ reticular lamina ที่พบอยู่ในเนื้อประสาน