ข้อบ่งชี้ในการให้การรักษาด้วยฮอร์โมนคือ
(5-7)
1. ผู้ป่วยที่ตรวจพบตัวรับต่อเอสโตรเจนหรือโปรเจนโตโรนในก้อนมะเร็ง ร่วมกับ 2. ไม่พบการแพร่กระจายของมะเร็งในอวัยวะภายใน (nonvisceral organs) |
การรักษาด้วยฮอร์โมน มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมีบำบัดมาก ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วย ที่ให้ผลบวกต่อการย้อมตัวรับฮอร์โมน จะตอบสนองต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน (8) ระยะเวลา ที่ให้ผลตอบสนองต่อการรักษาช้า มักใช้เวลาตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไป จึงจะเริ่มเห็นผลการตอบสนอง ต่อการรักษา (9) ผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งให้ผลลบต่อการย้อมตัวรับฮอร์โมน มีโอกาสน้อยมากที่จะ ตอบสนองต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม อาจพบผลลบลวง ต่อการย้อมได้ โดยเฉพาะถ้าย้อมด้วยวิธี steroid-binding assay ซึ่งเป็นเหตุผลในการให้การรักษาด้วยฮอร์โมน ในผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งให้ผลลบต่อการย้อม |
การรักษาด้วยฮอร์โมนแบ่งเป็น 2 วิธีคือ
1. การขจัดการทำงานของรังไข่ด้วยการผ่าตัดรังไข่ออกไป หรือการฉายรังสีที่รังไข่ (ablative) 2. การใช้ยายับยั้งการทำงานของรังไข่ (additive) |
การเลือกวิธีใดนั้น ขึ้นกับสภาวะประจำเดือนของผู้ป่วย โดยที่อัตราการตอบสนองทั้งสองวิธี ไม่มีความแตกต่างกัน (10,11) การใช้ยาฮอร์โมนชนิดเดียวหรือหลายชนิดร่วมกัน ให้ผลการรักษา ไม่แตกต่างกัน ค่ามัธยฐานของระยะเวลาการตอบสนองเท่ากับ 1 - 2 ปี โดยขึ้นกับสองปัจจัยคือ ตำแหน่งอวัยวะที่มะเร็งแพร่กระจาย (รอยโรคที่เนื้อเยื่ออ่อนตอบสนองต่อยาดีที่สุด รองลงมาคือ รอยโรคที่กระดูก) และระดับผลบวกของตัวรับฮอร์โมน (ยิ่งผลบวกมาก ยิ่งตอบสนองดีต่อ ฮอร์โมนบำบัด) (5-7) |
ตารางที่ 1 แสดงยาฮอร์โมนที่ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านม |
|
|
|
Aminoglutethimide Diethylstibestrol |
|
Megestrol acetate Prednisolone Fluoxymesterone (H) |
ในผู้ป่วยวัยก่อนหมดประจำเดือนอยู่ การรักษาด้วยฮอร์โมนวิธีแรกคือ การผ่าตัดรังไข่ออกไป การรักษาด้วยการฉายรังสีที่รังไข่เป็นวิธีที่ใช้น้อยมาก ปัจจุบันเริ่มมีการใช้ยากดการทำงานของรังไข่ เช่น goserelin มากขึ้น ยา tamoxifen ก็มีประสิทธิภาพในผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ถ้าขาดการทำงานของรังไข่ร่วมด้วย |
ส่วนในผู้ป่วยที่หมดประจำเดือนมักให้ยา tamoxifen เป็นการรักษาแรกเนื่องจากมีผลข้างเคียง น้อยมาก megesterol |
acetate และ aromatase inhibitors ก็มีความสำคัญในการรักษาผู้ป่วยวัยหมดประจำเดือน เช่นกัน aromatase inhibitor เช่น aminoglutethimide เป็นยาที่ยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่สร้างจากต่อมหมวกไตไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ผู้ป่วยวัยหมดประจำเดือน ยิ่งมีระดับ เอสโตรเจนลดลง (10,12) anastrozole ซึ่งเป็นยาใหม่ในกลุ่มนี้ มีผลข้างเคียงน้อยกว่า aminoglutethimide และยังพบว่าผู้ป่วยวัยหมดประจำเดือนที่เคยได้รับ tamoxifen เมื่อให้ anastrozole พบว่ามีประสิทธิภาพการรักษาเท่าเทียมกับการใช้ megestrol acetate แต่ผลข้างเคียง น้อยกว่า โดยเฉพาะน้ำหนักเพิ่ม |
ในกรณีที่ผู้ป่วยเคยตอบสนองต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน แต่ต่อมาก้อนมะเร็งโตขึ้น การเปลี่ยนไปใช้ยาฮอร์โมนชนิดที่สอง อาจพบว่ามีการตอบสนองได้ หรือถ้าการรักษาล้มเหลวอีก การใช้ยาฮอร์โมนชนิดที่สาม ก็พบการตอบสนองได้ โดยมีอัตราการตอบสนองลดลงประมาณร้อยละ 50 ในยาแต่ละชนิดที่ได้รับ และระยะเวลาการตอบสนองลดลงด้วย สุดท้ายมะเร็งเต้านมเกือบทั้งหมด จะดื้อต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน มีผู้ป่วยบางรายที่มะเร็งโตขึ้นในขณะที่ยังได้รับยา tamoxifen อยู่ แต่เมื่อหยุดยาแล้วนานเกินกว่า 6 สัปดาห์ พบว่าก้อนมะเร็งสามารถลดขนาดลงได้ (13) |
การบำบัดด้วยฮอร์โมนทั้งหมด อาจทำให้เกิดการปวดกระดูก หรือก้อนมะเร็งโตรวดเร็วได้ ภายในเดือนแรกของการให้ยา เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "flare phenomenon" ซึ่งพบได้ในผู้ป่วย ที่ได้รับยา diethylstilbestrol และ tamoxifen แม้ว่าก้อนมะเร็งจะโตเร็วขึ้นในช่วงแรก แต่ก็เป็น ช่วงเวลาสั้นๆ และถือว่าเป็นปัจจัยที่ดี เพราะจะตามด้วยการลดขนาดของก้อนมะเร็ง และเป็นข้อสำคัญทางคลินิกประการหนึ่ง ในการแยกปรากฏการณ์นี้ กับการที่โรคมะเร็งไม่ตอบสนอง ต่อการรักษา |