การรักษา (Treatment)
        โดยทั่วไปมีหลักการดังนี้คือ ต้องพยายามถ่ายพยาธิออกให้หมดทุกตัว ในกรณีที่มีพยาธิชนิดอื่นรวมอยู่ด้วย (mixed/multiple infection) ควรถ่ายพยาธิไส้เดือนกลมก่อน แล้วจึงถ่ายพยาธิอื่นๆ แนะนำให้ใช้ยาถ่ายพยาธิที่ออกฤทธิ์ทั้งพยาธิไส้เดือนกลมและอื่นๆ ได้ในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันพยาธิไส้เดือนกลมเคลื่อนไหวผิดปกติไปในที่ต่างๆ อันเป็นผลมาจากการถูกรบกวนโดยที่ยาไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อพยาธิไส้เดือนกลม   นอกจากนี้จะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการรักษาเด็กที่มีพยาธิไส้เดือนกลมจำนวนมาก   เนื่องจากพยาธิทั้งหมดอาจเคลื่อนไหวผิดปกติจนพันกันเป็นก้อนอุดตันลำไส้เล็ก (intestinal obstruction) หรืออาจทำให้ลำไส้ทะลุได้   ยาที่ให้ควรแบ่งให้กินหลายๆ วัน โดยจัดขนาดยาให้เหมาะสม   เนื่องจากการใช้ยาถ่ายพยาธิไส้เดือนกลมส่วนมาก เป็นแต่เพียงทำให้พยาธิไม่เคลื่อนไหวแต่พยาธิไม่ถึงตาย ดังนั้นในรายที่ผู้ป่วยท้องผูก ควรให้ยาระบายช่วยขับพยาธิออกมาด้วย
        นอกจากนี้การรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ควรใช้วิธีประคับประคองก่อน เช่น ในรายที่มีลำไส้เล็กอุดตัน ควรเริ่มการรักษาโดยให้ยากลุ่ม antipasmodics พร้อมให้น้ำเกลือ (intravenous fluid) และดูดสารทางเดินอาหาร (Gastric suction) ตามด้วยให้ยาถ่ายพยาธิ piperazine citrate ทางสายหลอดอาหาร (gastric tube) ซึ่งมักจะได้ผล แต่ถ้าไม่ได้ผลทันที ก็ต้องรักษาทางศัลยกรรมต่อไป ที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเกี่ยวกับทางเดินอาหารหรือช่องท้อง ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตาม ถ้ามีพยาธิไส้เดือนกลม จะต้องจัดการถ่ายพยาธิออกไปให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันการรบกวนแผลผ่าตัด หรือทำให้บริเวณที่ถูกเย็บ (surgical sutures) หลุดซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงได้
        ยาที่ใช้ดั้งเดิมนั้น เป็นพวกสมุนไพร ที่นิยมคือ ผลมะเกลือสด (หัวไม่ดำ) ขนาด 1 ผล ต่ออายุ 1 ปี แต่ไม่เกิน 25 ผล ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขระงับการใช้ เนื่องจากมีพิษทำให้ตาบอดได้
        ในปัจจุบันยาที่ใช้มีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่
        Piperazines citrate ในขนาด 75 มก./กก. (สูงสุดไม่เกิน 3.5 กรัม) ผู้ป่วยที่น้ำหนักน้อยกว่า 20 กก. ให้ 1-1.5 กรัม โดยการกินครั้งเดียว ซึ่งอาจให้ซ้ำ 2 วัน (ผลการรักษา 95%)
        อย่างไรก็ตาม การให้ยาครั้งเดียวอาจมีอาการข้างเคียงคือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือท้องเดินได้ และห้ามใช้ยาร่วมกับ Pyrantel pamoate เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านกัน การแบ่งยาให้วันละ 2-3 ครั้ง (ผู้ใหญ่ 2-2.5 กรัม/วัน เด็ก 0.5-2 กรัม/วัน) ไม่ได้ทำให้พยาธิตาย แต่มีผลต่อ transmembrane potential จะทำให้พยาธิไม่เคลื่อนไหว (flaccid paralysis) และถูกขับออกมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของลำไส้
        ยา Pyrantel pamoate (Combantrin 100 มก./เม็ด) มีผลทำให้พยาธิเกิดอัมพาตแบบ spastic paralysis โดยมีฤทธิ์ต่อพยาธิไส้เดือนกลม พยาธิเข็มหมุด และพยาธิปากขอ ซึ่งขนาดยาที่ให้ครั้งเดียว (10 มก./กก.) จะมีผลการรักษาพอๆ กัน piperazine อาการข้างเคียงที่อาจพบได้คือ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนหรือท้องเดิน
        ยา Mebendazole (Vermox 100 มก./เม็ด, Fugacar 100 และ 500 มก./กก.) ออกฤทธิ์โดยยับยั้ง glucose uptake ของพยาธิตัวกลม และมีผลยับยั้ง phosphorylation ใน mitochondria ของพยาธิไส้เดือนกลม ยานี้มีผลต่อพยาธิหลายตัว (broad spectrum) ซึ่งมีฤทธิ์ต่อพยาธิไส้เดือนกลม พยาธิเข็มหมุด พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย โดยให้ขนาด 100 มก. วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ติดต่อกัน 3 วัน อาจมีอาการข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ปวดท้อง หรือท้องเดินไม่มาก
        ยา Albendazole (Zentel 200 มก./เม็ด) ออกฤทธิ์โดยการยับยั้ง glucose uptake ของทั้งตัวแก่และตัวอ่อน ทำให้พยาธิขาดพลังงานจนตายไปในที่สุด ยามีฤทธิ์ broad spectrum เช่นกัน ขนาดยาที่ให้ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป คือ 400 มก. กินครั้งเดียว (Single oral dose)
        ยา Levamisole (Decaris 50 และ 100 มก./เม็ด) มีผลต่อ ganglion และมีฤทธิ์สำคัญ คือ ยับยั้งเอ็นไซม์ succinate dehydrogenase และ fumarate reductase ทำให้พยาธิเป็นอัมพาต โดยมีผลต่อพยาธิไส้เดือนกลม พยาธิปากขอ และพยาธิเส้นด้าย ขนาดยาที่ให้กินครั้งเดียว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่คือ 2.5 มก./กก. อาการข้างเคียงน้อยมาก
        ยา Thiabendazole (Mintezol 500 มก./เม็ด) ยานี้มีผลยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ fumarate reductase ทำให้พยาธิเกิดอัมพาต ซึ่งยามีผลต่อพยาธิไส้เดือนกลม พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิเข็มหมุด และพยาธิเส้นด้าย นอกจากนี้ยายังมีผลต่อพยาธิที่ทำให้เกิด Creeping eruption ด้วย