 | Figure 105 : ภาพ diagram แสดงอวัยวะต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็น ระบบทางเดินอากาศ ให้สังเกต Rt. primary bronchus กว้าง สั้นและทำมุมแหลมกับ trachea มากกว่า Lt. primary bronchus.ในทางกายวิภาคระบบทางเดินอากาส แบ่งได้เป็น 2 ส่วน โดยมีคอหอย (pharynx) เป็นตัวแบ่ง คือ-Upper Respiratory Tract (URT) : ได้แก่ nasal cavity, paranasal sinuses และ nasopharynx หน้าที่ของอวัยวะในส่วนนี้คือ filtering, humidifying และ ปรับอุณหภูมิอากาศที่หายใจเข้า-ออก- Lower Respiratory Tract (LRT) : ได้แก่ larynx, trachea ซึ่งแตกแขนงเป็นสอง primary bronchi และแตกเป็นลำดับขั้นเล็กลงให้เป็น secondary, tertiary bronchiole, alveolar duct และ alveolus (ถุงลม) ตามลำดับ |
---|
 | Figure 106 : ผนังของท่อทางเดินอากาศ (conducting portion) ในส่วน respiratory region. ดาดด้วยเนื้อผิวชนิด respiratory (pseudostratified ciliated columnar) epithelium (epi) with goblet cells รองรับด้วยชั้น lamina propria (lpr) ซึ่งประกอบด้วย เนื้อประสานที่บรรจุต่อมมีท่อและมีเส้นเลือดน้ำเหลืองและเส้นประสาทเป็นจำนวนมาก บางตำราเรียก 2 ชั้นนี้รวมกันว่า respiratory mucous membrane หรือ respiratory mucosa ใต้ต่อชั้นนี้ คือชั้น submucosa บรรจุ seromucous glands (มีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่ตำแหน่ง และชนิดของท่อทางเดินอากาศ) |
---|
 | Figure 107 : Olfactory mucosa พบบริเวณหลังคาของผนังโพรงจมูก เนื้อผิวประสาทมีลักษณะเป็นชนิด pseudostratified columnar epithelium (OF) ที่ประกอบด้วยเซลล์สำคัญ 3 ชนิด คือ (1) supporting cells มี nuclei ติดสีเข้มเรียงอยู่ที่ผิวบนของเนื้อผิว (2) olfactory receptor cells เป็น bipolar neuronal cells พบ nuclei ติดสีจางเรียงตัวในระดับต่างกัน และหนาตลอดแนวกลางของเนื้อผิวประสาท (3) basal cells มีจำนวนน้อยที่สุด nuclei กลม cytoplasm น้อยเรียงติดกับ basement membrane ชั้นใต้ต่อชั้นเนื้อผิวเป็น lamina propria บรรจุ tubuloalveolar Bowman's glands (BG), olfactory nerves เส้นเลือดและน้ำเหลืองจำนวนมาก ต่อมดังกล่าวสร้าง waterly serous secretion ฉาบผิวบนของเนื้อผิวประสาทให้ชุ่มชื้นเพื่อดักจับกลิ่น |
---|
 | Figure 108 : ภาพตัดตามยาวแสดงลักษณะของกล่องเสียง (Larynx) ซึ่งประกอบด้วย VnF = Ventricular fold หรือ false vocal fold , V = Ventricle , VF = Vocal Fold ช่องระหว่าง vocal fold ทั้งสองข้างเป็นช่องต่อกับ glottis ด้านล่าง และบริเวณด้านข้างของ vocal folds เป็น Vocalis Muscles (VM) |
---|
 | Figure 109 : ภาพกล่องเสียงข้างหนึ่งกำลังขยายสูงขึ้น แสดงลักษณะเนื้อผิวที่ดาด Ventricular fold (ศรชี้) เป็น stratified squamous epithelium,non keratinized type ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ดาด Vocal fold |
---|
 | Figure 110 : Oesophagus (Es = หลอดอาหาร) และ Trachea (Tr=หลอดลม)หลอดอาหารเป็น muscular tube มีเนื้อผิวย่นเป็นชนิด stratified squamous epithelium (non-keratin) ส่วนหลอดลมเป็น flexible tube โดยเฉพาะผนังด้านหลังที่วางทับบนหลอดอาหารเป็น กล้ามเนื้อเรียบปนกับ fibro-elastic tissue ส่วนผนังด้านหน้าเป็นกระดูกอ่อน (Hyaline Cartilage, C-shaped) |
---|
 | Figure 111 : ภาพหลอดลม (Trachea) ตัดตามขวาง แสดง ผนังด้านหน้าเป็น C-shaped rings of cartilage (C) ติดสีม่วงฟ้าทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ ผนังหลอดลมแฟบขณะหายใจเข้าออกเนื้อผิวที่ดาด trachea เป็นชนิด respiratory mucosa (รูปที่ 113) พบแผ่นบาง ๆ ของ กล้ามเนื้อเรียบที่เรียกว่า trachealis muscle (T) ประสานปลายของตัว C ทั้งสองข้างทางด้านหลัง เมื่อมีการหดตัวกล้ามเนื้อทำให้เส้น ผ่าศูนย์กลางของหลอดลมแคบลง ช่วยทำให้เพิ่มความดันในช่องทรวงอก โดยเฉพาะ ขณะที่มีอาการไอเกิดขึ้น อาจพบ longitudinal muscle (L) ได้บ้างบริเวณหลังต่อ trachealis muscle |
---|
 | Figure 112 : ภาพหลอดลมชนิด Intrapulmonary (secondary) bronchus แสดงลักษณะเนื้อผิวที่ดาดด้าน Lumen (L) เป็นชนิด respiratory epithelium (E) (รูปที่ 113) มีกล้าม เนื้อเรียบ (Sm = Smooth muscle) อยู่ใต้ต่อเนื้อผิว บริเวณช่องว่างที่มีศรชี้แสดงให้เห็น กล้ามเนื้อเรียบมีลักษณะเป็นแผ่น 2 อันไขว้กันพันรอบผนังหลอดลม ให้สังเกต แผ่นกระดูกอ่อน (HC = Hyaline cartilage) มีลักษณะเป็น irregular plates ซึ่งประกอบเป็นผนังหลอดลม ส่วนนี้ เพื่อทำหน้าที่เป็นโครงร่างพยุง และเป็นกรอบให้หลอดลม กลวงตลอดเวลาให้สังเกตเนื้อปอด (LT = Lung Tissue) อยู่ด้านนอกของหลอดลม (มุมล่างขวา) |
---|
 | Figure 113 : ภาพแสดง respiratory epithelium (ย้อมพิเศษ) กำลังขยายสูง เป็นชนิด Pseudostratified ciliatd columnar epithelium with goblet cells (gc) รองรับด้วย lamina propria ที่ประกอบด้วยเนื้อประสาน (ติดสีฟ้า) |
---|
 | Figure 114 : ภาพแสดงลักษณะโครงสร้างของเนื้อปอด หลอดลมชนิด Bronchiole (Bri) เส้นเลือด (ves) Bronchiole คือหลอดลมขนาดเล็กสุด ผนังไม่มีกระดูกอ่อนเป็นองค์ ประกอบ แต่ทดแทนด้วยการเพิ่มจำนวนชั้นกล้ามเนื้อเรียบมากขึ้น ส่วน lumen ของ bronchiole ดาดด้วย simple columnar to simple cuboidal epithelium และแทรกด้วย Clara cell (ศึกษาจากภาพ 116) หลอดลมส่วนนี้เรียก Terminal bronchiole, ในเนื้อปอด ท่อทางเดินอากาศที่เกี่ยวกับการหายใจ ได้แก่ ald = alveolar duct, sal = alveolar sac |
---|
 | Figure 115 : ภาพแสดงลักษณะโครงสร้างของ Respiratory epithelium (ย้อม H & E) ซึ่งเป็นชนิด Pseudostratified columnar epithelium ที่มี cilia (ศรชี้) ให้สังเกต เนื้อผิวด้านข้างทั้งสอง เริ่มเป็น bronchiolar epithelium คือเป็นชนิด simple cuboidal epithelium (เซลล์เตี้ยลง และมีชั้นเดียว) ชั้นใต้ต่อเนื้อผิวเป็นชั้นกล้ามเนื้อเรียบ (m) ไม่มีชั้นของ กระดูกอ่อนในท่อส่วนนี้ |
---|
 | Figure 116 : A & B ภาพ A เป็น TEM diagram ภาพ B เป็น scanning EM แสดงลักษณะ ของเนื้อผิวที่ดาด bronchiole ซึ่งเป็นชนิด simple cuboidal epithelium แต่ ไม่มี goblet cells นั่นคือประกอบด้วย เซลล์ 2 ชนิด คือ (i) Clara cells (Clara cell (CL) อยู่ระหว่าง Ciliated bronchiolar (cuboid) epithelial cells ซึ่งเซลล์ชนิดที่ 2 เห็นแต่ cilia (ศรชี้) ที่ยื่นแทรกอยู่ท่ามกลางระหว่างโดมของ clara cells (แทนตำแหน่ง goblet cells) เซลล์มี ลักษณะคล้ายกับ secretory cells คือภายใน cytoplasm บรรจุ RER (Rough Endoplasmic Reticulum), SER = Smooth Endoplasmic Reticulum, G = Golgi complex, M = Mitochondria, SG = secretory granule และ JC = Junctional complex ติดกับเซลล์ข้างเคียงโดยมี BL = Basal Lamina รองรับเนื้อผิว (จาก Histology : A Text and Atlas, by Ross et. al., 1995, pp.541). |
---|
 | Figure 117 : ภาพแสดงลักษณะของ Terminal bronchiole มีศรชี้บริเวณจุดที่เชื่อมต่อกับ respiratory bronchiole ซึ่งแตกแขนงออกเป็น 2 แขนงและเป็นท่อทางเดินอากาศขนาดเล็กที่สุดที่ เริ่มมีการแลกเปลี่ยนก๊าซโดย บริเวณผนังมีถุงลมมาเปิดออกประปราย ให้สังเกต ผนัง ของ respiratory bronchiole ตรง บริเวณปากถุงลมที่มาเปิดนั้นมีกลุ่มของกล้ามเนื้อ เรียบหนา และดาดด้วย bronchiolar epithelium เป็นระยะสลับกับ ผนังของถุงลม |
---|
 | Figure 118 : ภาพแสดงลักษณะของ Respiratary bronchiole มีศรชี้บริเวณที่มีถุงลมมาเปิดออก ช่อง ว่างในเนื้อปอดที่เป็นทางยาว โดยผนังนี้มีกลุ่มของกล้ามเนื้อเรียบเกาะที่ปากถุงลมเป็น ระยะ คือ ท่อทางเดินอากาศในส่วน alveolar duct. |
---|
 | Figure 119 : ภาพแสดงลักษณะ Alveolar duct ศรชี้บริเวณที่ถุงลมหลายอันมาเปิดเป็นทางและให้ เป็นผนังของ alveolar duct. |
---|
 | Figure 120 : ภาพแสดงลักษณะโครงสร้างของเนื้อปอด ศรชี้ผนังของถุงลม (Spt) ถ้ากลุ่มของถุงลมมีผนัง มาชิดกัน และใช้ทางออก-เข้าของอากาศร่วมกัน เรียกว่า alveolar sac(Spt = Septum) |
---|
 | Figure 121 a & b : ภาพ a แสดงลักษณะของถุงลม (Alveolus,alv) ภาพ B กำลังขยายสูงแสดง ผนังถุงลม (Septum,Spt) อยู่ระหว่างหัวศรดาดด้วย เซลล์เนื้อผิวสองชนิด คือ Type I alveolar cell (I) or pneumocyte type I cell เป็นชนิด simple squamous cells พบ 95% ของพื้นที่ของผนังถุงลมType II alveolar (II) or pneumocyte type II cell or septal cells เป็น cuboidal cells สร้างและหลั่ง สาร active agent surfactant (หน้าที่เพื่อลดแรงดึงผิว) พบเซลล์ชนิดนี้ประมาณ 5% ของพื้นที่ของผนังถุงลม- e or end = endothelial cell เป็นเซลล์เนื้อผิวที่ดาด lumen ของ alveolar capillaries ซึ่งภายในบรรจุเซลล์เม็ดเลือดแดง (ery)
Alveolar septum เป็นแหล่ง Air-Blood-Barrier ซึ่งประกอบด้วย- Alveolar epithelial cells
- Basal lamina of the alveolar epithelium
- Basal lamina of the capillary endothelium
- Endothelial cells of the rich capillary network
- Connective tissue cells เช่น macrophages (dust cells), fibroblasts etc.
|
---|
 | Figure 122 : ภาพแสดง Type I alveolar cell (ศรชี้) ลักษณะเป็น simple squamous epithelial cell เซลล์เหล่านี้เชื่อมติดกับเซลล์ชนิดเดียวกันหรือกับ Type II alveolar cells โดย tight junctions เพื่อสร้างเป็นสิ่งกีดขวาง ระหว่างช่องอากาศ และองค์ประกอบของผนังถุงลม |
---|
 | Figure 123 : Type II alveolar cell or Septal cell (ศรชี้) เป็น simple cuboidal cell มักพบบริเวณต่างมุมที่ผนังของถุงลม 3 ด้านมาเชื่อมกัน ให้สังเกต capillary endothelial cell อยู่ใต้ต่อเซลล์นี้และดาดใน lumen ของ capillary ต้องแยกลักษณะของเซลล์นี้ให้ออกจาก Type I alveolar cell |
---|
 | Figure 124 : Type II alveolar cell ในระดับภาพอิเลคตรอน ภายใน cytoplasm ของเซลล์บรรจุ parallel membrane lamellae (lamellar bodies) ซึ่งมี phospholipids เป็นองค์ประกอบ เมื่อ lamellar bodies หลั่งออกมาอยู่ใน alveolar space และแผ่เป็นแผ่นบางคลุมผนังถุงลม เพื่อลดแรงดึงผิวที่บริเวณ air-epithelium สารนี้ คือ surfactant ถ้าสารนี้หลั่งมาน้อยไม่เพียงพอ ทำให้ถุงลมแฟบ ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด และเซลล์นี้หลั่ง surfactant ไม่เพียงพอ ทำให้เกิด respiratory distress syndrome = SDS (หายใจไม่ได้) เด็กตามหลังคลอด |
---|
 | Figure 125 : Macrophage or dust cell กำเนิดมาจาก circulating blood monocytes พบที่ผนังของถุงลม ทำหน้าที่เก็บกินฝุ่นที่ปะปนมากับอากาศ พบเซลล์ชนิดนี้มากในคนที่สูบบุหรี่จัด สังเกตตะกอนคาร์บอนสีดำเล็กขนาดไม่เท่ากันบรรจุอยู่ใน cytoplasm ของเซลล์ชนิดนี้ |
---|
 | Figure 126 : ภาพแสดง Alveolar macrophage (M) ระดับกล้องจุลทรรศ์อิเลคตรอน ซึ่งสัมผัสกับ ผนัง capillary (C) และ Type II pneumocyte (P2 ), AP= Alveolar pore, BM = Basement Membrane กั้นอยู่ระหว่าง Type I & Type II pneumocyte ภายใน cytoplasm ของ alveolar macrophage บรรจุ secondary lysosomes (Ly) จำนวนมากและ lipid droplets (L) |
---|
 | Figure 127 : ภาพอิเลคตรอนแสดง ช่องถุงลม 2 อัน คือ alveolar spaces, A1 และ A2 มีผนังถุงลม กั้น (ระหว่างหัวศร 2 อัน) บริเวณผนังถุงลมประกอบด้วยเส้นเลือดฝอย (Cap) บาง เส้นเลือดฝอยบรรจุเซลล์เม็ดเลือดแดง ผนังถุงลมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดบาง (Tn P = Thin portions) และชนิดหนา (Th P = Thick portion) โดยทั่วไปผนังถุงลม ที่บางประกอบด้วย ส่วนของ pneumocyte type I และ capillary endothelium อย่างละ หนึ่งเซลล์ รวมทั้ง fused basal lamina ส่วนที่หนานั้นเพราะใต้ต่อ basal lamina เพิ่ม ความหนาของ เนื้อประสาน ได้แก่ collagen fibrils และ elastic fibers.(จาก 3rd ed., Histology ของ Ross, et al., 1995, pp. 542) |
---|