![]() | Figure 63 : ภาพ diagram A & B ฟันหน้าผ่ากลางแสดงองค์ประกอบของฟัน ส่วนที่แข็งที่สุดของฟันคือ dentin, enamel และ cementum ส่วนเนื้อที่บรรจุในช่องแกนกลางอ่อน เรียกว่า pulp มี periodental ligament ยึดฟันติดกับ alveolar bone ให้สังเกต clinical crown คือส่วนของฟันที่โผล่ยื่นพ้นเหงือก แตกต่างจาก anatomical crown คือส่วนบนสุดของฟันที่คลุมด้วย enamel (จาก Histology : A text and Atlas, by Ross et. al., 3rd ed., 1995, p.411และ Color Atlas of Histology, by Gartner, L.P and Hiatt, J.L, 2 nd ed., 1994, p242.) |
---|---|
![]() | Figure 64 : การเจริญเติบโตของฟัน เริ่มตั้งแต่ มี Dental lamina ลักษณะเป็น horseshoe - shaped band ของเนื้อผิวที่กำเนิดมาจาก oral epithelium ต่อมาเจริญเป็นระยะต่าง ๆ เช่น Bud stage, Cap stage, Bell stage และเกิดมี dentin และ enamel ซึ่งเป็นระยะ Apposition, A= Ameloblast, e = enamel, d= dentin (สีฟ้า), O = odontoblast ช่องว่างขาวที่อยู่ใต้ต่อ dentin คือ dentin matrix ให้สังเกต Ameloblasts เป็น highly elongated columnar cells ที่สร้าง enamel ส่วน odentoblasls สร้าง Dentin ส่วนเนื้อประสานที่อยู่ใต้ต่อ odontoblasts คือ dental papilla |
![]() | Figure 65 : ลิ้นมนุษย์ บริเวณ dorsal surface ของลิ้น แบ่งออกเป็น 2 บริเวณ คือ anterior two thirds และ posterior one thirds โดยมีร่องรูป V-shape เรียก sulcus terminalis เป็นเขตแบ่งและยังเป็นที่อยู่ของ Circumvallate papillae (ตุ่มที่มีอวัยวะรับรส) ปลายยอดแหลมสุดของรูป V-shape คือ Foramen cecum linguae ส่วนอวัยวะที่รับรสเรียกว่า Taste buds ซึ่งมักสัมพันธ์อยู่กับ papillae พบ lingual papillae 4 ชนิด คือ Circumvallate, Fungiform, Foliate และ Filiform (ขนาดเล็กมากและมีมากที่สุดในลิ้นคน) ผิวลิ้นส่วนหลังไม่เรียบเนื่องจากมี lingual tonsil พบ palatine tonsils บริเวณรอยต่อระหว่าง oral cavity และ pharynx (จาก Histology : A Text and Atlas, by Ross et. al., 3rded., 1995, pp 407). |
![]() | Figure 66 : ลิ้นเป็น muscular organ ที่ปกคลุมด้วย oral mucosa ทำหน้าที่คลุกเคล้าอาหาร และรับรส โดยแกนกลางเป็น Skeletal Muscle (M) มี small serous และ mucous accessory salivary glands (G) จำนวนมากแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อและชั้น lamina propria สังเกต : กลุ่มของกล้ามเนื้อลายมีทั้งเรียงตัวหลายทิศทาง เช่น ตามขวาง ยาวและเฉียง |
![]() | Figure 67 : ลิ้นลิงแสดง ภาพ A foliate papillae (FP) (ในคนไม่ชัดเจน) และภาพ B circumvallate papilla (cp) (รูปดอกเห็ด มี taste buds (tb) จำนวนมากพบอยู่ที่บริเวณผนังด้านข้างของ FP และ CP ทั้งสองด้าน เนื้อผิวที่คลุมลิ้นเป็น stratified squamous epithelium (ep) ชนิด non-keratinized หรือมี keratin เล็กน้อย เนื้อผิวที่คลุมด้านบนของ ตุ่มรับรสทั้งสองชนิด หนาและมี secondary connective tissue papillae (CT) ยื่นสวมอยู่ในเนื้อผิว เนื้อประสานบริเวณใต้ต่อ foliate papillae บรรจุ serous type-glandsเรียก von Ebner's gland (vE) , d = duct of vE มีท่อเปิดออกตรงร่องระหว่าง papillae ภาพ B ที่อยู่ชิดกัน ส่วนแกนของลิ้นมีกล้ามเนื้อลายเรียงตามตัวยาว และขวาง (T) แทรกด้วย mixed sero-mucous glands |
![]() | Figure 68 : Taste buds (TB) กำลังขยายสูงขึ้น มักพบบริเวณ ผนังด้านข้างของ papillae หรือบริเวณเนื้อผิวที่คลุมลิ้นโดยอยู่ในร่องระหว่าง papillae พบ taste buds แทรกอยู่ตลอดความหนาของ stratified squamous epithelium อวัยวะรับรสมีรูเปิดออกด้านบน เรียกว่า taste pore (tp) พวกเซลล์ประสาทรับรสประกอบด้วย เซลล์ 3 ชนิด คือ |
![]() | Figure 69 : ต่อมน้ำลายชนิด Sublingual gland ประกอบด้วย mucous cells (MC) เป็นส่วนใหญ่ ทั้ง serous และ mucous acini ถูกหุ้มด้วยแขนงของ contractile cells ที่เรียกว่า myoepithelial cells ทำหน้าที่บีบรัด acini ให้น้ำลายออกมาตามท่อ มักพบเซลล์ชนิดนี้แบนอยู่ระหว่าง basal plasma membrane ของ seretory cells กับ basement membrane |
![]() | Figure 70 : ภาพ A และ B แสดงลักษณะโครงสร้างของ ต่อมน้ำลายชนิด Parotid gland ประกอบด้วย serous acini (ser)เป็นส่วนใหญ่ แม้ cytoplasm ของ serous cells (ภาพ A) ติดสีฟ้าค่อนข้างจางแต่ลักษณะที่เด่นคือ นิวเคลียส์ (nuc) ของเซลล์กลมนูนพบบริเวณฐานของเซลล์ แตกจาก mucous cells ที่นิวเคลียส์แบน (Figure 69), str = striated duct, ves = vessel, icd = intercalated duct. |
![]() | Figure 71 : ต่อมน้ำลายชนิด Submandibular gland เป็น mixed sero-mucous gland. (กำลังขยายต่ำ) ที่มีลักษณะเด่นคือ mucous acini มี Serous demilune (ภาพขยายในรูปที่ 72) อาจพบมีเซลล์ไขมัน (fc) แทรกในเนื้อต่อม ต้องแยกให้ออกจาก mucous cells (Figure 72) |
![]() | Figure 72 : Serous demilune (ศรชี้) เป็นลักษณะของ mucous acini (ma) ถูกคลุมด้วยส่วนของ serous acini เรียกส่วนที่คลุมนี้ว่า serous demilune (คล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว)ลักษณะเช่นนี้ พบได้บ่อยไป submandibular salivary glands. |
![]() | Figure 73 : ภาพวาดแสดงลักษณะพื้นฐานของผนังหลอดอาหาร ที่ตัดตามขวาง ภายในท่ออาหารแฟบทำให้เห็น lumen มี ลักษณะเป็นแฉก ชั้น muscularis mucosae ค่อนข้างหนาเพื่อให้ชั้น mucosaขยายได้กว้าง พบ mucous glands ในชั้น submucosa ชั้นกล้าม บรรจุชนิดกล้ามเนื้อที่มีความแตกต่างกันตลอดความยาว คือเศษหนึ่งส่วนสาม ของความยาวหลอดอาหารตอนบนเป็นกล้ามเนื้อลาย เศษหนึ่งส่วนสามตอนกลางเป็นกล้ามเนื้อลาย และเรียบปะปนกัน และเศษหนึ่งส่วนสามตอนล่างเป็นกล้ามเรียบ ซึ่งต่อเนื่องลงมาตลอดทางเดินของกระเพาะ และลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่ |
![]() | Figure 74 : ภาพวาดแสดงลักษณะโครงสร้างพื้นฐานของผนังของเดินอาหารโดยเฉพาะส่วนลำไส้ ให้สังเกตลักษณะผนังลำไส้เล็ก (บน) และลำไส้ใหญ่ (ล่าง) |
![]() | Figure 75 : ภาพกำลังขยายต่ำของหลอดอาหาร (Esophagus = Es) และ หลอดลม (Trachea = Tr) |
![]() | Figure 76 : ภาพขยายบริเวณผนังลำไส้ตรงรอยต่อระหว่าง inner circular muscle และ outer longitudinal muscle layer พบกลุ่ม parasympathetic ganglion cells of the myenteric (Auerbach's) plexus, N = Neuron, art = arteriole, Nf = Nerve fiber. หน้าที่ parasympathetic activity คือส่งเสริมการเกิด paristalsis ในกล้ามเนื้อเรียบของผนังลำไส้ ขณะเดียวกัน sympathetic activity ทำให้มีการเคลื่อนของลำไส้ช้าลง |
![]() | Figure 77 : บริเวณผนังรอยต่อระหว่างหลอดอาหาร และกระเพาะ (esophagogastric junction),E = Esophagus, C = Cardiac portion of stomach, G = gastric glands. , Lp = Lamina propria หลอดอาหารดาดด้วย stratified squamous epithelium, non-keratinized type มีความหนาทำให้เกิดมีร่อยลึกบริเวณฐาน ใต้ต่อชั้นนี้เป็น lamina propria และ muscularis mucosae เนื้อผิวตรงรอยต่อกับกระเพาะเปลี่ยนไปเป็น simple columnar epithelium ที่มี gastric pits (foveolae) จำนวนมาก gastric glands บริเวณนี้ เรียก cardiac glands มีท่อมาเปิดออกที่ก้นหลุมของ gastric pits |
![]() | Figure 78 : ภาพ diagram แสดง gastric gland 1 อัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ |
![]() | Figure 79 : Gastric gland บริเวณ neck (ย้อมพิเศษ) แสดง mucous neck cell (ศรชี้) สร้าง soluble mucous (สีน้ำเงินเข้ม) แตกต่างจาก surface mucous cells ที่สร้าง insoluble หรือ cloudy mucous การหลั่ง mucinogen granules นั้นต้องมีการกระตุ้นจาก Vagal nerve (CN12) |
![]() | Figure 80 : Gastric gland บริเวณฐาน แสดง parietal cell = p และ chief cell = ch Parietal (oxyntic) cells เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ รูปสามเหลี่ยม มียอดชี้ตรงกลางท่อ มีนิวเคลียส์กลม cytoplasm ติดสีกรด (ชมพู) ในระดับภาพอิเลคตรอนเซลล์มีลักษณะพิเศษ คือ พบ intracellular canaliculi system(ศึกษาจากภาพที่ 78) และมี microvilli ยื่นจากผิวบนของ canaliculi บริเวณ apical cytoplasm มี tubuloendoplasmic reticulum จำนวนมาก Parietal cells สร้างและหลั่ง HCl (กระตุ้นโดยฮอร์โมน gastrin) และ Intrinsic factor (glycoprotein ที่จับกับ วิตามิน B12 ในกระเพาะ) |
![]() | Figure 81 : ภาพ A แสดงลักษณะโครงสร้างของเนื้อผิว (กำลังขยายสูง) ที่ดาดลำไส้เล็ก เป็นชนิด simple columnar epithelium (ept)มี striated border (sbd), microvilli, หัวศรชี้, และ goblet cell (gbc) แทรกรอบด้วย basment mumbrane (bm)ในขับ lamina pronia (lpn) บรรจุ capillavies และเซลล์เนื้อประสาน ภาพ B แสดงลำไส้เล็กส่วนต้น คือ Duodenum (ของลิง) ซึ่งเป็นส่วนที่สั้นที่สุดของลำไส้เล็ก รับอาหารที่ย่อยบางส่วนแล้วจากกระเพาะ จากนั้นเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ ส่วนนี้ จากนั้นคลุกเคล้ากับน้ำย่อยหลั่งจากผนังลำไส้ ตับอ่อน ตับ และน้ำดี ลักษณะเด่นของผนัง ทางวิทยาฮิสโต คือ มี submucosal (Brunner's) glands = d เด่นชัด Villi (v) มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยืนไปทางท่อของลำไส้ เนื้อผิวที่บุลำไส้เป็น simple columnar epithelium และหว่ำ ให้เป็น simple tubular glands หรือ crypts of liberkuhn (ศรชี้) ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด คือ enterocytes (absortive cells) เป็นส่วนใหญ่ goblet cells, paneth cells (พบมากใน ileum) และ M cells (microfold cells) ซึ่งเป็น modified enterocyte ที่คลุมเฉพาะขน lypmphatic nodules ขนาดใหญ่ ชั้น lamina propria ให้เป็นแกนของ villi บรรจุเนื้อประสานและ lymphocytes ผนังชั้นกล้ามเนื้อ = m ประกอบด้วย inner circular และ outer longitudinal layer. |
![]() | Figure 82 : ภาพ A และ B แสดงผนังลำไส้เล็กส่วน Jejunum กำลังขยายต่ำ ให้สังเกต ภาพ A แสดงลักษณะของ plicae circulares(ประกอบด้วยชั้น mucosa,mu และ submucosa,sbm) ชัดเจนลักษณะของ villi (v) เรียงยาว บรรจุ central lacteals (lymphatic capillaries) ให้สังเกต intestinal glands หรือ crypts of lieberkuhn (ศรชี้) คือต่อมที่มีเนื้อผิวคล่ำลึก ยื่นเข้าไปในผนัง ของลำไส้ ส่วน villous ยื่นเข้าสู่ lumen ของลำไส้ intestinal glands ในภาพนี้ ติดสีเข้มสร้างเมือก และหลั่งออกสู่ฐานของ villousม mm = ชั้น muscularis mucosae, m = ชั้น muscerlaris externa |
![]() | Figure 83 :ภาพกำลังขยายสูงของ intestinal villous (ย้อมสีพิเศษ) มีแกนกลางเป็น lamina propria (lpr) ซึ่งประกอบด้วยเนื้อประสาน lymphocytes และ central lacteal (cly) เนื้อผิวที่คลุม villous เป็น simple columnar epithelium (ept) ที่มี goblet cells (gc) แทรก (Figure 81 , ภาพ A) สังเกต goblet cells มีรูปทรงคล้ายแก้วไวน์ก้านที่จับเล็กเป็นที่อยู่ ของนิวเคลียส์ ส่วนตัวแก้วใสเป็นอยู่ของ mucinogen granules หน้าที่สร้างเมือก (mucin) ออกมาคลุมผิวของลำไส้ พบ goblet cells จำนวนเพิ่มมากขึ้นในลำไส้เล็กส่วนปลาย และมากที่สุดใน terminal ileum |
![]() | Figure 84 : ผนังลำไส้เล็กส่วน Ileum มีลักษณะคล้าย jejunum คือมี villous (v) แต่มีกลุ่มของ lymphatic nodules จำนวนมากเรียกว่า Peyer's patches (P) ซึ่งพบส่วนใหญ่ในชั้น submucosa บางตำรากล่าวว่า มีการศึกษาภาพอิเลคตรอนพบว่าเซลล์เนื้อผิวที่คลุมบน lymphatic nodules นั้นเป็นเซลล์พิเศษ ให้ชื่อว่า M cells (microfold cells) เป็น modified enterocytes, ซึ่งเข้าใจว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน ชั้น muscularis externa = m. |
![]() | Figure 85 :Intestinal crypts of Lieberkuhn (ย้อมสีพิเศษ) เนื้อผิวที่บุ intestinal villi เป็น simple columnar epithelium ซึ่งต่อเนื่องดาดที่ crypts (intestinal glands) ด้วย พวกเซลล์ที่เป็นองค์ประกอบอยู่ของ crypts ได้แก่ entrocytes (tall columnar cells ), mucous-secreting goblet cells และ Paneth cells (p) ส่วนชั้น lamina propria อยู่บริเวณระหว่าง crypts และให้เป็นแกนของ villi พบกลุ่มของกล้ามเนื้อเรียบรองรับฐานของ crypts คือชั้น muscularis mucosae (mm) |
![]() | Figure 86 : Crypts of Lieberkuhn กำลังขยายสูง (ย้อมสีพิเศษ) ศรชี้ Paneth cell (P) ภายใน cytoplasm บรรจุ eosinophilic granules ติดสีแดงเข้ม จากภาพอิเลคตรอนเซลล์นี้มีลักษณะเป็นแบบ exocrine protein - secreting cells สิ่งที่สร้างและหลั่งออกมาเป็น bactericidal enzyme เรียกว่า lysozyme ให้สังเกต พวก granules มักพบบริเวณ apical cytoplasm |
![]() | Figure 87 :ผนังลำไส้ใหญ่ส่วน colon เซลล์เนื้อผิวที่ดาดมี 2 ชนิดคือ absorptive cells และ mucus secreting goblet cells (ใส = gc) โดยเซลล์เหล่านี้เรียงตัวเป็น straight tubular glands ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ crypts of Lieberkuhn ของลำไส้เล็ก หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ดูดซับน้ำออกจาก กากอาหารที่ผ่านมาจาก ลำไส้เล็ก และสร้างน้ำเมือกออกมาหล่อลื่นกากอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้ กากอาหารแข็งเสียดสีกับเนื้อผิวที่ดาดลำไส้ใหญ่ สังเกต muscularis muscosae (mm) ติดสีชมพูเป็นแถบรองรับ tubular glands |
![]() | Figure 88 : A mucous - secreting goblet cells (ศรชี้) กำลังขยายสูง (ย้อมสีพิเศษ) แสดงลักษณะรูปร่างของเซลล์ ที่คล้ายกับแก้วไวน์ มีก้านเล็กเป็นที่อยู่ของนิวเคลียส์ เซลล์ชนิดนี้มักพบแทรกอยู่ระหว่าง columnar absorptive cells และมีหน้าที่สร้างน้ำเมือก |
![]() | Figure 89 : ภาพวาดแสดงลักษณะโครงสร้างของ ลำไส้ใหญ่ส่วน appendix ผนังมี 4 ชั้น แต่มี lumen แคบมาก ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือมี lymphatic nodules จำนวนมากกระจายแต่บางครั้งอาจยื่นเข้าไปแทรกอยู่ในชั้น submucosa ภายใน lumen มักพบเศษอาหารตกอยู่ |
![]() | Figure 90 : ภาพ A แสดงผนังของ appendix (ให้เปรียบเทียบกับภาพ 89) ให้สังเกต Crypts of Lieberkuhn (intestinal glands) บริเวณด้านขวามือพบ lymphatic nodule (ln) ภาพ B แสดง ตรงรอยต่อระหว่างลำไส้ ส่วน rectum กับ anus (anorectal junction, หัวศรสองอัน) ให้สังเกตเนื้อผิวที่ดาด rectum เป็น simple columar cells (หัวศรชี้) ที่มี mucous goblet cells (ใส) จำนวนมาก ส่วนของ anus ดาดด้วยstratified squamous epithelium, moist type (ลูกศรชี้), BV = Blood vesselar. |
![]() | Figure 91 : ภาพ dragram แสดง a liver lobule มีลักษณะเป็นหกหลี่ยม บริเวณมุมทั้งหกเป็นที่อยู่ของ portal triads (hepatic artery, portal vein , bile duct) มีศูนย์กลางเป็น central vein ซึ่งเป็นการแบ่งเนื้อตับในแบบ classic lobule ให้สังเกตแขนงของเส้นเลือดใน portal triads ผ่านไปยัง liver sinusoids และเทลงสู่ central vein |
![]() | Figure 92 : ภาพเนื้อตับ parenchyma of liver A = ภาพกำลังขยายต่ำ และ ภาพ B กำลังขยายสูง ซึ่งแสดง liver sinusoid (S) มีบางบริเวณดาดด้วย Macrophage (M) ที่มี particles บรรจุอยูใน cytoplasm ของเซลล์ ส่วนใหญ่ sinusoids ดาดด้วย endothelial cells (en), เซลล์ตับ (hc, hepatocyte) เรียงต่อกันเป็นแท่งบางครั้ง เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า hepatic cord มีช่องระหว่างเซลล์ตับ และผนังของ endothelial cells เรียกว่า Space of Disse ( sd หรือ perisinusoidal space), PT = Portal Triad, CV = Central Vein. |
![]() | Figure 93 : ภาพ liver parenchyma บริวณ portal triad แสดง Portal vein (Pv) , Hepatic artery (Ha) และ bile duct (A) ซึ่งดาดด้วย simple cuboidal epithelium |
![]() | Figure 94 : ภาพ diagram แสดงองค์ประกอบของ เซลล์ตับ ในระดับกล้องจุลทรรศ์อิเลคตรอน ซึ่งภายใน cytoplasm ประกอบด้วย organelles หลายชนิดจำนวนมากน้อยแล้วแต่หน้าที่ของเซลล์ตับ ให้สังเกต ด้านข้าง 2 ด้าน ของเซลล์ตับมี endothelial cells ดาดใน sinusoid ส่วน Space of Disse มี microvilli ของเซลล์ตับยื่นเข้าไปบรรจุ, ด้านอีก 2 ด้านของเซลล์ตับชิดติดกับเซลล์ข้างเคียง โดยมีบริเวณศูนย์กลางของผิวเซลล์เป็นช่องของ bile canaliculi |
![]() | Figure 95 : ภาพอิเลคตรอน แสดง Space of Disse มี microvilli ของ เซลล์ตับบรรจุอยู่โดย endothelial cells เป็นตัวกั้นกลางระหว่าง space of Disse และอีกด้านดาด liver sinusoid หัวศรชี้ ช่องว่าง (gap) ระหว่าง endothelial cells ใช้เป็นทางผ่านเข้า - ออกของสาร เช่น เมื่อหลั่งสารออกมาจากเซลล์ตับผ่านสู่ space of Disse, gap ไปยัง liver sinusoid (เท่ากับเซลล์ตับมีการหลั่งแบบต่อมไร้ท่อ) หรือ vice versa. |
![]() | Figure 96 : ภาพ diagram เปรียบเทียบชนิดการแบ่งกลีบเล็กของเนื้อตับทั้ง 3 ชนิดตามแต่ละกรอบที่ระบายสีฟ้า ซ้ายสุดรูปหกเหลี่ยมเป็น classic lobule กลางรูปสามเหลี่ยม เป็น portal lobule ขวารูปวงรี เป็น liver acinus |
![]() | Figure 97 :ภาพแสดงลักษณะโครงสร้างของผนังถุงน้ำดี มี 3 ชั้น |
![]() | Figure 98 :ภาพ diagram แสดงร่างแหการหลั่งของน้ำดี (สีเขียว) จากเซลล์ตับ (ภาพ a, ซ้าย) ผ่าน bile canaliculi (เส้นเขียวเล็กที่สุด) เทลง bile duct (ภาพ b, ขวา) ซึ่งอยู่บริเวณด้านข้างของ lobule, sin = Sinusoid ให้สังเกต bili canaliculi สร้างเป็นวงล้อมรอบเซลล์ตัว (จาก Histology : A Text and Atlas, by Ross et. al., 1995, pp.505) |
![]() | Figure 99 : ภาพ bile duct (ศรชี้) ดาดด้วย simple cuboidal epithelium พบอยู่บริเวณ portal triad ในเนื้อตับ |
![]() | Figure 100 : ภาพแสดง bile canaliculi (ย้อมสีพิเศษ) ติดสีน้ำตาลเข้มมีลักษณะเป็นร่างแห อยู่ล้อมรอบเซลล์ตับ |
![]() | Figure 101 : ภาพอิเลคตรอนของเซลล์ตับในส่วนที่ติดกับ Bile canaliculi ให้สังเกตลักษณะของ Very low density lipoproteins (VLDL) สร้างจากเซลล์ตับรวมกันอยู่ใน vesicles ก่อนที่หลั่งออกสู่กระแสเลือด ภายใน bile canaliculi มีส่วนของ microvilli ของเซลล์ตับยื่นเข้าไปอยู่ใน lumen |
![]() | Figure 102 : ตับอ่อน (Pancreas) เป็น mixed Exocrine (Ep) and Endocrine pancreas โดยบริเวณต่อมไร้ท่อเป็นกลุ่มเซลล์ติดสีอ่อน ขดเป็นรูปทรงกลม เรียกว่า Islet of Langerhans (I) ซึ่งสร้างและหลั่งฮอร์โมน Isulin และ glucagon เข้าทางกระแสเลือดไปยังอวัยวะเป้าหมาย (target organs) บริเวณ Exocrine pancreas (Ep) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์มีลักษณะเป็นต่อมติดสีเข้มสร้าง และหลั่งน้ำย่อยผ่านออกทางท่อ (duct = d) |
![]() | Figure 103 : Exocrine pancreas เป็น compound tubuloacinar gland มี Acini ประกอบด้วย serous cells ภายใน cytoplasm ของ serous cells บรรจุ zymogen granules (zg) จำนวนมาก สร้างมาจาก RER เมื่อเริ่มหลั่งผ่านทาง centroacinar cells (cc) จากนั้นส่งต่อไปที่ intercalated duct (ic) larger duct. |
![]() | Figure 104 : Excorine pancreas แสดง centroacinar cell (ศรชี้) เป็นพวกเซลล์ที่ดาดท่อเริ่มแรกก่อนผ่านที่ต่อไปยังมีท่อ intercalated duct ไม่พบเซลล์ชนิดนี้ในต่อมมีท่อชนิดใด ส่วน striated excretory duct ไม่พบในตับอ่อนเช่นกัน (เมื่อเปรียบเทียบกับต่อมน้ำลาย) |