 | Figure 45 : ผนังลำไส้เล็กส่วน Ilium บริเวณ Peyer's patches (P),V= Villus ของลำไส้, M= ชั้นกล้ามเนื้อเรียบของผนังลำไส้ Peyer's patchesเป็นกลุ่มของ diffuse lymphatic tissue มีเนื้อผิวคลุมด้านบน ตรง dome areaเซลล์เนื้อผิว เป็นชนิด cuboidal ที่ไม่มี goblet cells ปน แต่มี intraepitheliallymphocytes จำนวนมาก บางบริเวณของ Peyer's patches พบ lymph nodules (อยู่ตรงฐานด้านซ้ายของPeyer's patch) ที่มี germinal center (ติดสีอ่อน, gc) ซึ่งประกอบด้วย largeproliferating B-cell คลุมด้านบนด้วย corona (co) ติดสีเข้มประกอบด้วย smallB-cells ปัจจุบันเชื่อว่ามี M cells เคลื่อนมาจาก mucosal crypts รับผิดชอบในการนำสิ่งแปลกปลอมหรือ antigens จาก lumen ของลำไส้เข้าไปทำลายใน Peyer's patch |
|---|
 | Figure 46 : Palatine tonsil กำลังขยายต่ำ เป็น partial encapsulatedmasses of lymphatic tissue เนื้อผิวที่คลุมด้านบนเป็นชนิด stratified squamousepithelium(epi) ที่มีบางบริเวณหว่ำลึกเป็นร่องเข้าไปเนื้อของต่อม เรียกว่าprimary tonsillar crypts(1o) ร่องแรกนี้อาจแตกแขนงออกเป็น secondarytonsillar crypts(2o) ในเนื้อต่อมพบ diffuse lymphatic tissueและ secondary nodules (2ond : germinal centers and corona) เปลือกที่รองรับบริเวณฐานของต่อมทอนซิลเป็นfibrous connective tissue |
|---|
 | Figure 47 : Palatine tonsil กำลังขยายสูงขึ้น แสดงเนื้อผิวที่คลุมด้านบนของต่อมเป็นstratified ชนิด non-keratinized, squamous epithelium(epi) เนื้อต่อมบรรจุกลุ่มของ lymphatic nodules แต่ละ nodule มี germinal center (gc, ติดสีอ่อน)คลุมด้วย corona หรือ mantle zone (ma, ติดสีเข้ม) |
|---|
 | Figure 48 : Pharyngeal tonsil พบที่ nasopharynx เนื้อผิวที่คลุมเป็นชนิดpseudostratified ciliated columnar epithelium(epi) เนื้อต่อมประกอบด้วยdiffuse(dif) และ nodular lymphatic tissue โดย nodules มี germinal centers(gc)และ mantle zones(ma) ไม่พบ tonsillar crypt พบแต่ tonsillar folds และมีseromucous glands(ไม่ได้แสดง) อยู่บริเวณใต้ต่อมทอนซิลชนิดนี้ โดยมีท่อส่งออกแทงทะลุเนื้อต่อมทอนซิลออกสู่ผิวบน |
|---|
 | Figure 49 : Palatine tonsil กำลังขยายสูง แสดง Tonsillar crept(C), Stratified squamous epithelium (ep) ซึ่งปกคลุมผิวบนของต่อมทอนซิลชนิดนี้และ lymphatic nodule ที่ประกอบด้วย Germinal Center (GC) และ Mantle zone(M) |
|---|
 | Figure 50 : ต่อมน้ำเหลือง (lymph node) รูปร่างคล้ายถั่วมีเปลือกหุ้มโดยรอบเปลือก (capsule,cap) ประกอบด้วย dense irregular collagenous connectivetissue ตรงบริเวณผิวเปลือกที่โค้งนูนของต่อมมี Afferent lymphatic vessels(Av) บรรจุและแทงทะลุเนื้อต่อมน้ำเหลือง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ cortex(cor, ติดสีเข้มอยู่ใต้ต่อเปลือก) และถัดลงมาเป็น medulla(med) แต่ถ้าแบ่งตามตำแหน่งและชนิดการทำงานของ lymphocytes แยกเนื้อต่อมได้เป็น 3 ส่วนคือ (i) spheroidallymphoid follicles ซึ่งเป็นแหล่งของ B-cells โดย lymphoid follicles แบ่งย่อยออกเป็นprimary follicles (ไม่มี germinal center ) และ secondary follicles (มีgerminal center = GC บรรจุ B-cells และ M = mantle zone หรือ lymphocyticcorona บรรจุ T-cells) (ii) Deep cortical zone or paracortex or juxtamedullarycortex คือบริเวณเนื้อ cortex ที่ไม่รวม lymphoid follicle และรวมทั้งอาณาเขตเชื่อมต่อระหว่างเนื้อcortex และ medulla บริเวณดังกล่าวประกอบด้วย T-cells (iii) Medullary Cord(MC) ลักษณะเป็นแท่งติดสีน้ำเงินเข้มอยู่ในส่วน Medulla ประกอบด้วย B-cellsและ plasma cells และมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้าง immunoglobulins (หรือantibodies) ปัจจุบันเชื่อว่า germinal centers ของต่อมน้ำเหลืองเกิดมาจากผลของ T cell/Bcell interaction ตรงบริเวณ paracortex ในขณะเดียวกัน B cells บริเวณ germinalcenters เปลี่ยนไปเป็น antibody-secreting cells (plasma cells ) และเคลื่อนไปยังmedullary cords เพื่อสะดวกในการหลั่ง antibodies ออกจากต่อมน้ำเหลืองทางefferent lymph vessels ผ่านออกตรงบริเวณขั้วของต่อม |
|---|
 | Figure 51 : ต่อมน้ำเหลือง บริเวณ subcapsular sinuses โครงร่างของต่อมน้ำเหลืองประกอบด้วย3 ส่วนคือ เปลือกหุ้ม (capsule ) เป็น collageous fibers (cfb), Trabeculaeเป็นเนื้อประสานชนิดอยู่ชิดติดกันแน่นยื่นจากเปลือกหุ้ม แทรกในเนื้อต่อมให้เป็นgross framework ของต่อม และ Reticular tissue ซึ่งประกอบด้วย reticular cells(rtc) และ reticular fibers ให้เป็น fine supporting meshwork ของเนื้อต่อมเมื่อlymphocytes (ly) ในน้ำเหลืองผ่านเข้าเนื้อต่อมน้ำเหลืองทาง afferent lymphvessels กรองผ่านเข้า subcapsular sinuses (ช่องว่างใต้เปลือกหุ้ม) ผ่านต่อไปยังtrabecular sinuses -----> medullary sinuses -----> efferent lymph vessels-----> ตรงขั้ว ซึ่งเป็นทางออกของต่อม ตรงบริเวณ paracotex ของเนื้อต่อมน้ำเหลืองพบมีpostcapillary venules (PCV) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ B และ T cells เคลื่อนออกจากน้ำเลือดข้ามผ่านcuboidal epithelium ที่ดาด postcapillary venules โดยขบวนการที่เรียกว่าDIAPEDESIS (ผ่านระหว่างเซลล์) จากนั้นผ่านข้าม basal lamina พวก T-cellsยังคงอยู่ที่ paracortical area แต่ B cells เคลื่อนต่อไปยัง nodular cortex, mph, macrophage |
|---|
 | Figure 52 : ต่อมไทมัส (Thymus) (กำลังขยายต่ำ) มีเปลือกบางหุ้มแต่ละกลีบเล็ก (lobule) ประกอบด้วยเนื้อ cortex (ติดสีน้ำเงินเข้ม, basophilic,cor)บรรจุ T-lymphocytes หรือ thymocytes จำนวนมาก และเบียดกันแน่นและเนื้อส่วนmedulla (ติดสีชมพูอ่อน, eosinophilic, med) บรรจุ lmphocytes จำนวนเล็กน้อย และอยู่กับอย่างหลวมต่อมไทมัสกำเนิดมาจาก endoderm epithelium ต่อมาเจริญให้เป็น cellular reticulumคือไม่มี reticular fibers มีแต่ epithelioreticular cells ทำหน้าที่เป็นstromaส่วน lymphocytes บรรจุอยู่ใน cellular reticulum แรกเริ่มพวก lymphocytesเคลื่อนมาจาก yolk sac แต่ต่อมาเคลื่อนมาจาก red bone marrowเข้าสู่ต่อมไทมัสและมีการแบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น lymphocytes ที่สร้างมาใหม่ บางครั้งเคลื่อนออกจากต่อมไทมัสไปยังเนื้อเยื่ออื่นโดยเฉพาะอวัยวะต่อมน้ำเหลืองและม้าม แต่ส่วนใหญ่ T-lymphocytes เกิดและตายอยู่ในต่อมไทมัส |
|---|
 | Figure 53 : ต่อมไทมัสบริเวณ medulla พบมี Thymic (T) or Hassall'scorpuscle ลักษณะ flattened epithelioreticular cells เรียงตัวเป็นชั้นติดสีeosinophilic นอกจากนั้น medulla ยังบรรจุ plasma cells, lymphocytes, macrophagesและ epithelial reticular cells. Epithelial reticular cells เข้าใจว่าสร้างฮอร์โมนหลายชนิด เช่น thymosin,serum thymic factor และ thymopoietin ส่วน Blood Thymic Barrier ในต่อมไทมัสเป็นผลมาจาก การที่เซลล์เนื้อผิว สร้างเป็นเปลือกหุ้มเส้นเลือด ในเนื้อต่อมเท่ากับเป็นสิ่ง ขัดขวาง(barrier) การเข้าของสิ่งแปลกปลอม โดยเฉพาะ antigens ที่ปะปนมากับน้ำเลือดเข้าสู่ระบบช่องว่างภายในepithelial framework ของเนื้อต่อมไทมัส |
|---|
 | Figure 54 : ม้าม (spleen) กำลังขยายต่ำ บนสุด คือ เปลือกหุ้มประกอบด้วยdense fibro-elastic connective tissue (ศรชี้) ปะปนด้วยเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ มีบางส่วนของเปลือกยื่นเข้าไปอยู่ในเนื้อม้ามเรียกว่า trabeculae (แท่งสีชมพูเข้ม, tr) เนื้อม้ามประกอบด้วย กลุ่มของ lymphaticnodules (ติดสีน้ำเงิน) เรียกว่า white pulp (wp) นอกเหนือจากกลุ่มเนื้อเยื่อน้ำเหลืองดังกล่าวแล้วเป็นส่วนของ red matrix หรือ red pulp (rp) ซึ่งติดสีชมพูอ่อน |
|---|
 | Figure 55 :เนื้อม้าม (parenchyma of spleen) กำลังขยายสูงขึ้นแสดงWhite pulp ซึ่งประกอบด้วย lymphatic tissue เมื่อมีแขนงของ splenic arteryผ่านเข้าทางเปลือกหุ้มและ trabaeculae เข้าไปอยู่ใน white pulp เรียกแขนงเส้นเลือดบริเวณนี้ว่าcentral artery (CA) มีพวก lymphocytes ที่กระจายอยู่ล้อมรอบผนังเส้นเลือดแดงนี้ทำให้มีชื่อว่า periarterial lymphatic sheath (PALS) โดยที่ lymphatic (splenic)nodules อาจเกิดขึ้นใน periarterial sheath ทำให้ดัน central artery มาอยู่บริเวณขอบของwhite pulp ใน splenic nodule นี้ประกอบด้วย germinal center (GC) และ mantle(= M) zone ส่วนอาณาเขตที่รอยต่อระหว่าง white pulp และ red pulp (RP) เรียกmarginal zone ใน red pulp ประกอบด้วย splenic sinusoids แทรกอยู่ระหว่างsplenic cords (แท่ง lymphocytes) ใน splenic nodules ประกอบด้วย B-lymphocytes, PALS ส่วนใหญ่ประกอบด้วย T-lymphocytesบริเวณ Germinal centers เป็นแหล่งที่ lymphocytes พบกับสิ่งแปลกปลอมหรือantigens ทำให้เกิดปฏิกริยาโต้ตอบขึ้น Central artery ใน white pulps จะแตกแขนงเมื่อออกจาก splenic nodules โดยไม่มีlymphatic sheath หุ้มได้แก่ แขนง straight และ penicillar arteries ซึ่งแบ่งแขนงนี้ย่อยออกเป็น3 ส่วนคือ pulp arterioles, macrophage sheath arterioles และ terminal arterialcapillaries โดยปลายสุดของเส้นเลือดฝอยนี้อาจเทลงสู่ splenic sinuses of redpulps (เป็นการไหลเวียนชนิดวงจรปิด) หรือ เทลงสู่ reticular meshwork ของsplenic cords เกิดมีการกรองน้ำเลือดก่อนที่ผ่านต่อไปยัง splenic sinuses(เป็นการไหลเวียนชนิดวงจรเปิด) |
|---|