ภาพและคำอธิบายประกอบ

Figure 32 : ภาพ A แสดงผนังหัวใจและลิ้นหัวใจ (Cardiac valve = Cv) ภาพ B แสดงลักษณะ โครงสร้างของ Purkinji fibers ผนังหัวใจมี 3 ชั้น ชั้นในสุด เรียก Endocardium ดาดด้วย endothelium และมี subendocardial layer ที่บรรจุ fibroelastic tissue บางแห่งชั้นนี้ต่อเนื่องกับ cardiac valves ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมทิศทางการไหลของเลือด และบางแห่งบรรจุ Purkinje fibers ทำหน้าที่เกี่ยวกับ impulse conducting โดยมี pacemaker เริ่มบริเวณ sinoatrial (S-A) node (ตรงรอยต่อของ superior vena cava และ right atrium) ส่งไปตาม atrial wall สู่ atrioventricular (A-V) node จากนั้นผ่าน atrioventricular (A-V) bundle ต่อมาแยกออกเป็น ขวาและซ้าย bundle branch ตรงบริเวณ septum membranaceum โดยปลายแขนงของ bundle branch คือ Purkinji fibers (ภาพ B) ให้สังเกต Purkinji cell มีcytoplasm ใสเพราะบรรจุ glycogen granules มากกว่า myofihrils.
  • ชั้นกลางของผนังหัวใจ คือ myocardium ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle, Cm) ชั้นนอกสุดคือ Epicardium ซึ่งประกอบด้วย mesothelial cells ดาดคลุมอยู่ผิวนอกสุดถัดเข้ามาเป็นชั้น ของเนื้อประสานอยู่กันหลวม ๆ โดยมีเส้นเลือดท่อน้ำเหลือง เส้นประสาท บรรจุอยู่เพื่อเลี้ยงชั้นกล้ามเนื้อหัวใจด้านนอก นอกจากนั้น พบเนื้อไขมัน ทำหน้าที่เป็น ฉนวนหุ้มหัวใจ
  • Cardiac valve (Cv) ประกอบด้วย แกน collagenous layer โดยมีผิวคลุมทั้งสองด้านด้วย endothelial layer ซึ่งต่อเนื่องดาดในช่องหัวใจ และเส้นเลือดขนาดใหญ่
  • n = nerve, lv = lymphatic vessel, V = Venule, A = A Curkinji fiber (cell), nuc = nucleus of a Purkinji fibers เข้าใจว่าชั้นที่บรรจุเส้นประสาทและเส้นเลือด นี้คือ epicardium แต่เนื่องจาก artefect ที่เกิดจากขบวนการเตรียมชิ้นเนื้อทำให้ แยกออกจาก myocardium
  • Figure33 : ผนังของ aorta หรือ conducting (large) artery, Tunica intima ประกอบด้วย ชั้น endothelium ไม่เห็นในระดับกำลังขยายต่ำ ชั้นที่ติดสีเข้ม คือ Tunica media (Tm) ซึ่งประกอบด้วย แผ่น elastic fibers มีลักษณะเป็น fenestrated membrane นอกนั้นพบ smooth muscle fibers แทรกอยู่เล็กน้อยชั้นนอกสุดคือ Tunica adventitia (Ta) ประกอบด้วย เนื้อประสานชนิดหลวมที่บรรจุ เส้นเลือดขนาดเล็ก (vasa vasorum) และเส้นประสาท (nervi vascularis) เพื่อเลี้ยงผนังเส้นเลือดขนาดใหญ่ ด้านนอก (ให้ศึกษากำลังขยาย ชั้นนี้ ในรูปที่ 34)
    Figure 34 : ผนังของ aorta ชั้นนอกสุด
  • Tunica media (Tm) บรรจุ elastic fibers (Ef) ถนัดออกมาด้านนอก เป็น Tunica adventitia (Ta) บรรจุ vasa vasorum (Va)
  • Figure 35 : Muscular artery (MA) and medium-sized vein (MV) ย้อมสีพิเศษ : elastic fibers ติดสีดำ Intima (Int) บางมากไม่เห็นทั้งในผนัง Muscular artery และ medium-sized vein. ชั้นที่เห็นชัดคือ Tunica media ประกอบด้วย smooth muscle fibers (m) หนาและบริเวณส่วนต่อระหว่าง Tunica intima และ Tunica media (เฉพาะ muscular artery) พบ Internal elastic membrane (Int) ติดสีดำเด่นชัด ถ้าย้อม H&E จะเห็นใส ส่วนบริเวณรอยต่อระหว่าง Tunica media และ Tunica adventitia พบ External elastic membrane (Ext) ติดสีดำเป็นแนวบางกระจัดกระจาย
    Figure 36 : Small artery (Ar = large Arteriole), Venule (V), Nerve = N, Lymphatic vessel (Lv), ย้อมสีพิเศษ Arterioles อาจให้คำจำกัดความว่าเป็นเส้นเลือดแดงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้อยกว่า 0.3 มิลลิเมตร ผนังของ arteriole แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ลักษณะสำคัญ คือมี Internal elastic membrane (In) เห็นชัดเจน Tunica media (Me) ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบประมาณ 5-6 ชั้น หรือน้อยกว่า Tunica adventitia อาจหนาเท่ากับชั้นกลาง และมักปะปนแทรกรวมอยู่กับเนื้อประสาน ที่อยู่ล้อมรอบเส้นเลือดนั้น
  • Venule (V) บางตำรา เรียกว่า muscular venule มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ไม่พบ internal elastic fibers ที่อยู่ระหว่างชั้น intima และ media ส่วนผนังชั้นกลางประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 1-2 ชั้น
  • Lymphatic vessel (Lv) ผนังบางมาก แตกต่างจากเส้นเลือดดำขนาดเล็กตรงที่ไม่พบเซลล์เม็ดเลือดแดง ใน lumen แต่พบเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิด lymphocyte จำนวนมาก บางครั้งเห็นเป็นช่องว่างใส หรือมีตะกอนโปรตีนของน้ำเหลืองใน lumen ไม่พบ lymphatic vessels ใน CNS, เนื้อกระดูกอ่อน กระดูกแข็ง ไขกระดูก ต่อมไทมัส ฟันและ cornea (แก้วตา)
  • Figure 37 : Arteriole (Ar), small vein (sV) Arteriole (Ar), small vein (sV)
  • Arteriole มี lumen แคบ ผนังชั้นกลางประกอบด้วย ชั้นของกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น ส่วน intima เห็นแต่ nuclei of endothelium ไม่พบ internal elastic fibers ชั้น adventitia ปนรวมอยู่กับเนื้อประสานที่ล้อมรอบ arteriole หน้าที่ของ arterioles คือ ควบคุมการไหลของน้ำเลือดเข้าสู่เส้นเลือดแดงฝอย เมื่อมีการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังชั้นกลาง ทำให้ lumen ของเส้นเลือดแคบลง น้ำเลือดไหลผ่านออก ดังนั้นเมื่อมีการหดตัวของ arterioles ทั่วร่างกายเป็นผลให้เพิ่ม peripheral blood resistance สูงขึ้น arterioles จึงมีความสำคัญในการควบคุมความดันของเลือด
  • Small Vein มีผนังบางและ lunen กว้าง ชั้น intima เห็นแต่ nuclei ของ endothelium ผนังชั้นกลางมีกล้ามเนื้อเรียบ 2-3 ชั้นเท่านั้น หน้าที่ของระบบเส้นเลือดดำ เกี่ยวกับรับน้ำเลือดที่มี CO2 ปนสูงกลับเข้าสู่หัวใจด้านขวาดังนั้น ภายใน lumen จึงมีความดันเลือดต่ำ มักพบ ลิ้นของเส้นเลือดดำที่มีขนาดเล็กและกลาง โดยเฉพาะเส้นเลือดดำ บริเวณแขน-ขา
  • Figure 38 : Small vein (V) แสดง ลิ้นของเส้นเลือดดำ (vV = valve of vein) ย้อมสีพิเศษ Valve (ลิ้น) ของเส้นเลือดดำขนาดเล็กประกอบด้วย delicate semilunar projections ที่ยื่นออกมาจากชั้น intima ลิ้นประกอบด้วยแกน fibro-elastic tissue ที่คลุมทั้งสองด้านด้วย endothelium ลิ้นนี้มี 2 แผ่นปลายชี้ไปตามกระแสเลือด มักพบลิ้นของเส้นเลือดดำที่มีขนาด lumen มากกว่า 2 มิลลิเมตร โดยเฉพาะบริเวณแขนขาทั้งนี้ เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ ของกระแสเลือดที่ต้านต่อแรงถ่วงของโลก (gravity)
  • Striated muscle (m) ตัดตามขวาง, lc = lymphatic capillaries แตกต่างจาก blood capillaries คือท่อน้ำเหลืองฝอย มี endothelial cytoplasm บางมาก ไม่มีทั้ง basement membrane และ pericytes มีแต่ fine collagenous filaments ยึดระหว่าง endothelium กับ เนื้อประสานที่อยู่ล้อมรอบ
  • Figure 39 : ผนังของเส้นเลือดดำ ขนาดใหญ่สุด (largest vein = Vena cava) ย้อมสีพิเศษแสดง elastic fibers ติดสีน้ำเงินเข้มชั้น Intima ติดกับ Lumen (Lu) ไม่สามารถ บ่งชี้ได้ (บางมาก และอาจหลุดหายไปในขณะที่เตรียมชิ้นเนื้อ) ชั้น Media (Me) ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ รอยต่อระหว่างชั้น Media และ adventitia (ad) พบมี External elastic membrane (Ex) เป็นขอบบาง ให้สังเกต ชั้น adventitia (ad) หนากว่าชั้นกลาง และบรรจุกลุ่ม ของกล้ามเนื้อเรียบ (m) เรียงตัวตามความยาวของเส้นเลือด โดยมี elastic fibers ปะปน การเรียงตัวของกล้ามเนื้อเรียบ เช่นนี้ อาจสท้อนถึงความจำเป็นในการยืด และหดของเส้นเลือดเพื่อให้เข้ากับการหายใจเข้า - ออกของทรวงอก
  • ในเส้นเลือดดำ แดงขนาดใหญ่มีชั้น adventitia กว้างมากจึงมักพบ vasa vasarum และท่อน้ำเหลืองจำนวนมาก บางครั้งเส้นเลือดที่เลี้ยงผนังเส้นเลือด อาจแท่งทะลุผ่านเข้าไปอยู่ในผนังเส้นเลือดชั้นกลาง คือ outer one thirds (หนึ่งส่วนสามทางด้านนอก)
  • Figure 40 : ภาพ A : Arterial capillary (ศรชี้, ระดับกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา) พบบริเวณหนังแท้ ซึ่งเป็นชนิด continuous capillary ผนังของเส้นเลือดแดงฝอยมีชั้นเดียวนั่นคือดาด lumen ด้วย simple endothelial cells และมักเห็นnuclei ติดสีเข้ม นูนออกทาง lumen ส่วน cytoplasm ของเซลล์บางมาก บางครั้งไม่สามารถบ่งชี้ได้ ในระดับกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา นอกจากนั้น อาจพบเซลล์แบนอีกชนิดคือ pericyte โอบล้อมรอบ endothelial cells เซลล์นี้ทำหน้าที่ บีบรัดผนังเส้นเลือดฝอย เหตุที่เรียกว่า continuous capillary เพราะจากภาพอิเลคตรอน endothelial cytoplasm ต่อเนื่องกันตลอด และเชื่อมต่อกันด้วย junction เท่านั้น มี basal lamina ต่อเนื่องรองรับ endothelium
  • Fenestrated capillary เป็นเส้นเลือดแดงฝอยชนิดที่ 2 พบในผนังของลำไส้ เนื้อต่อมไร้ท่อ glomerulus ของไต จากภาพอิเลคตรอน endothelial cytoplasm มีช่อง (Fenestrae) ที่มี diaphragms กั้น แต่มี basal lamina ที่ต่อเนื่อง ยกเว้นใน glomerular capillaries (ภาพ B) ไม่พบ diaphragms กั้น fenestrae.
  • Sinusoidal capillary เป็นเส้นเลือดแดงฝอยชนิดที่ 3 (ศึกษาใน รูปภาพที่ 41) C = Fenestrated capillary, E = cytoplasm ของ endothelial cell, หัวศรชี้ F = Fenestrae, B = Basement membrane.
  • Figure 41 : Sinusoids (s) หรือ discontinuous capillaries เป็นเส้นเลือดแดงฝอยชนิดที่ 3 พบแทรกอยู่ในเนื้อของตับ hc = hepatocyte (เซลล์ตับ), M = Macrophage หรือ kupffer cell, sd = Space of disse, en = endothelial cell ที่ดาด lumen ของ Sinusoids เส้นเลือดฝอยชนิดนี้มี lumen กว้างและคดเคี้ยว นอกจากนั้นพบในเนื้อม้าม ต่อมน้ำเหลือง ไขกระดูก และต่อมไร้ท่อบางชนิดจากภาพอิเลคตรอน มักพบช่องกว้าง (gaps)ระหว่าง endothelial cells ส่วน basal lamina อาจเป็นชนิดไม่ต่อเนื่องหรือไม่พบเลย
    Figure 42 : ท่อน้ำเหลือง (lymphatic vessels) เตรียมชิ้นเนื้อโดยวิธี whole mount ผนังของท่อน้ำเหลืองบาง เห็นแต่ endothelial cells ติดสีเข้มเป็นระยะ ท่อน้ำเหลือง เริ่มตั้งแต่ lymphatic capillaries ซึ่งเป็น blind-endings และขนาดเล็กที่สุด จากนั้นจะเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นเป็น lymphatic vessels สุดท้ายท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่สุด คือ left thoracic duct (ด้านซ้าย) และ right lymphatic duct (ด้านขวา) โดยเทเข้าสู่ระบบไหลเวียนทางเส้นเลือดดำ
  • ลักษณะทั่ว ๆ ไปของท่อน้ำเหลือง เมื่อพบในเนื้อเยื่อมักแฟบทำให้บ่งชี้ได้ยาก (โดยเฉพาะที่มีขนาดเล็ก) หรือถ้าบรรจุน้ำเหลืองเห็นเป็นช่องว่างใส และดาดด้วย endothelial cells ไม่ควรพบเซลล์เม็ดแดงในท่อน้ำเหลือง มีแต่ lymphocytes ปะปราย ภายในท่อน้ำเหลือง บางแห่งพบมีลิ้น (valves) ศึกษาได้ในรูปที่ 44
  • Figure 43 : lymphatic vessel (กลางภาพ) ลักษณะเป็นท่อที่มีผนังบางมาก lumen กว้างใส เพราะบรรจุ amorphous material (น้ำเหลือง) ผนังด้านในสุด ดาดด้วย endothelium ผนังชั้นกลางเป็นกล้ามเนื้อเรียบเรียงตัว 1-2 ชั้นเท่านั้น
    Figure 44 : ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ (main lymphatic duct) เตรียมโดยวิธี whole mount แสดง lymphatic valve (ลิ้นท่อน้ำเหลือง, lv) ในภาพติดสีแดงเป็นทางยาว พบอยู่ภายในท่อ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับลิ้นเส้นเลือดดำ เว้นแต่แกนกลางของลิ้นประกอบด้วย reticulin fibers และมี ground substance ปนอยู่เล็กน้อยเท่านั้น